ตร.ออสซี “วิสามัญ” ผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย หลังถูก “แทงยับ” คา สน.

เอเอฟพี - ทางการออสเตรเลียแถลงวันนี้ (24 ก.ย.) ว่าตำรวจได้วิสามัญผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายรายหนึ่ง ขณะที่เขาก่อเหตุกระหน่ำแทงเจ้าหน้าที่ 2 นาย หนึ่งวันหลังกลุ่มติดอาวุธมุสลิมสุหนี่หัวรุนแรง “รัฐอิสลาม” (ไอเอส) กระตุ้นให้ชาวมุสลิมร่วมกันสังหารชาวออสซีโดยไม่เลือกหน้า

ชายวัย 18 ปีผู้นี้ ซึ่งรายงานระบุว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิสลาม “อัล-ฟูร์กัน” ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อเย็นวานนี้ (23) ขณะเดินทางไปเข้ารับการสอบปากคำตามปกติ ที่สถานีตำรวจแถบชานเมือง

ตำรวจระบุว่า เขาได้พบกับเจ้าหน้าที่ 2 นายจากหน่วยปราบปรามการก่อการร้ายร่วม แล้วจับมือทักทายกัน ก่อนที่เขาจะควักมีดออกมากระหน่ำแทงตำรวจทั้งสอง โดยหนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่อได้ชักปืนออกมายิงคนร้ายเสียชีวิตด้วยกระสุนนัดเดียว

ไมเคิล คีนัน รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมออสเตรเลียระบุวันนี้ (24) ว่า “ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ชายผู้เข้ารับการสอบสวนคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยพัวพันการก่อการร้าย ที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย และสำนักข่าวกรองต้องการตัวมาสอบปากคำ” พร้อมกับกล่าวเสริมว่า คนร้ายโจมตีเจ้าหน้าที่โดยไม่ได้ถูกยั่วยุ

“เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตำรวจกำลังสอบสวน และดูเหมือนว่า เจ้าหน้าที่ยิงชายคนนี้เพื่อป้องกันตัว”

ทั้งนี้ ภายหลังเข้ารับการผ่าตัด ตำรวจทั้งสองนายได้พ้นขีดอันตรายแล้ว

การก่อเหตุโจมตีครั้งนี้เกิดขึ้น ภายหลังกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรง ไอเอส ออกคำแถลงกระตุ้นให้ชาวมุสลิมลุกขึ้นสังหารพลเรือนของทุกประเทศ ที่ร่วมเป็นพันธมิตรต่อสู้กับกลุ่มนักรบญิฮาด ภายใต้การนำของสหรัฐฯ โดยออสเตรเลียเป็นชาติหนึ่งที่กลุ่มหัวรุนแรงสั่งฆ่า เช่นเดียวกับสหรัฐฯ แคนาดา และฝรั่งเศส

จูลี บิชอป รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียแถลงว่า แคนเบอร์รากำลังรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างจริงจัง พร้อมกล่าวเตือนว่า เป็นที่ชัดเจนว่าออสเตรเลียตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มหัวรุนแรง ซึ่งประกาศจัดตั้งการปกครองแบบ “กาหลิบอิสลาม” (คอลีฟะห์) คร่อมอาณาเขตของอิรักและซีเรีย

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ออสเตรเลียเพิ่งดำเนินภารกิจปราบปรามการก่อการร้ายครั้งใหญ่ในนครซิดนีย์และเมืองบริสเบน เพื่อขัดขวางเหล่าผู้สนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลามที่กำลังวางแผนลักพาตัว และฆ่าตัดคอพลเมืองคนหนึ่ง

ทั้งนี้ รัฐบาลแดนจิงโจ้เชื่อว่า ตอนนี้มีชาวออสเตรเลียได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักรบญิฮาดกลุ่มไอเอส ถึง 60 คน ขณะที่ 20 คนเดินทางกลับมาแล้ว และมีพลเมืองอย่างน้อย 100 คนกำลังสนับสนุนการเคลื่อนไหวในตะวันออกกลาง จากในประเทศออสเตรเลียอย่างแข็งขัน