เอเจนซีส์ /เอพี - องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ทำนายว่าโรคอีโบลาจะระบาดอย่างรวดเร็วในไลบีเรีย ซึ่งทั้งวินมอเตอร์ไซด์รับจ้างและแท็กซีถือเป็นพาหะหลักที่สามารถทำให้เกิดการแพร่ระบาดแบบไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่ผู้ป่วยอเมริกันที่ติดเชื้อรายที่ 4 จะบินจากแอฟริกาตะวันตกเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอีโมรี รัฐจอร์เจีย
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้(8)ว่า จากการที่ไม่มีการฆ่าเชื้ออย่างเหมาะสมทำให้ทั้งวินมอเตอร์ไซด์และแท็กซีในไลบีเรียถือเป็นแหล่งติดต่อโรคชั้นดี ประกอบกับมาตรการควบคุมโรคอีโบลาของรัฐบาลไลบีเรียนั้นอ่อนแอเกินไปจึงไม่มีผลทำให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้
นอกจากนี้ WHO ยังเตือนว่ารัฐบาลประเทศแอฟริกาตะวันตกต้องเพิ่มมาตรการให้เข้มงวดมากขึ้นจาก 3 เท่า เป็น 4 เท่าในไลบีเรีย และประเทศในแอฟริกาตะวันตกอื่นๆที่มีการระบาด โดยเจ้าหน้าที่ WHO ให้ความเห็นว่า “จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพในการรับมือของศูนย์การบำบัดรักษา และคาดว่าไลบีเรียจะคราคร่ำไปด้วยผู้ติดเชื้อใหม่อีกหลายพันคนภายใน 3สัปดาห์ข้างหน้า
และWHO ยังแถลงในวันจันทร์(8)ว่า จากตัวเลขล่าสุดใน 15 ประเทศที่มีการติดเชื้อพบว่า มีรายงานยืนยันผู้ติดเชื้อรายใหม่ 14 คนในไลบีเรีย “เมื่อมีศูนย์การรักษาโรคแห่งใหม่เปิดขึ้น เกือบจะในเสี้ยววินาทีศูนย์การแพทย์แห่งนี้จะแน่นขนัดไปด้วยผู้ป่วยอีโบลา “แสดงให้เห็นว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อที่ยังไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก” และ WHO ยังประเมินว่า สถานพยาบาลขนาดไม่ต่ำกว่า 1,000 เตียงจำเป็นต้องเปิดขึ้นใหม่ในมองเซอร์ราโด เคาน์ตี (Montserrado County) เขตกรุงมอนโรเวียตั้งอยู่ และมีประชาชนอาศัยอยู่มากกว่า 1 ล้านคนเพื่อรองรับผู้ป่วยติดเชื้อ
และในวันเดียวกัน(8) โฆษกกองทัพอากาศสหรัฐฯ พันโทเจมส์ วิลสัน เผยว่า คนไข้สหรัฐฯติดเชื้ออีโบลารายที่ 4 จะบินจากแอฟริกาตะวันตกมาถึงฐานทัพอากาศ Dubbins Air Reserve Base นอกเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย และจะถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอีโมรี เหมือนเช่นคนไข้ 2 รายแรกก่อนหน้านี้ที่ได้รับการรักษาจนหายป่วยก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอีโมรีจะยืนยันการรับการรักษาคนไข้รายใหม่ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดนอกเหนือจากนี้
ในขณะที่ริก ซาครา ผู้ป่วยติดเชื้ออีโบลารายที่ 3 ที่ขณะนี้อยู่ในการเข้ารับการรักษาที่ศูนย์การแพทย์ในรัฐเนแบรสกา มีรายงานเปิดเผยว่า ผู้ป่วยสามารถทนต่อการรักษาในขั้นทดลองในวันจันทร์(8)เพิ่มมากขึ้น แต่การฟื้นตัวของซาครายังไม่ทรงตัว ทั้งนี้ทางศูนย์การแพทย์เนบราสกาเปิดเผยว่า “ทางศูนย์เลือกใช้ยารักษาอีโบลาในขั้นทดลองตัวอื่นที่ไม่ใช่เซรุ่ม Zmapp กับซาครา”
โดยทางทีมแพทย์ปฎิเสธที่จะเปิดเผยชื่อยาทดลองที่ใช้รักษาริก ซาครา แต่ยืนยันว่าในการรักษาคนไข้รายที่ 3 ได้ทำการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญอีโบลาตลอดเวลา
แต่อานีช เมห์ตา (Aneesh Mehta) แพทย์จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยอีโมรีแถลงเมื่อวานนี้(8)ว่า ยากที่จะทราบได้ว่า Zmapp ที่ทางโรงพยาบาลได้รับมาใช้นั้นได้ผลกับคนไข้หรือไม่ แต่ทางทีมแพทย์ทุกคนได้รับคำแนะนำให้ใช้วิธีเพิ่มภูมิคุ้มกันให้คนไข้ที่ทำการรักษาควบคู่ไปด้วย รวมไปถึงการเปลี่ยนให้ IV fluidแบบต่างกันให้กับคนไข้แต่ละรายตามความเหมาะสมในเวลานั้น รวมถึงให้สารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงเพื่อกระตุ้นระดับโปรตีนและสารอื่นๆเพื่อทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ถูกไวรัสโจมตีฟื้นตัว
ในส่วนการพัฒนายารักษาอีโบลา แกรี โคบินเกอร์(Garry Cobinger)จากการแพทย์สาธารณสุขแคนาดา ที่ร่วมคิดค้น Zmapp กับบริษัทยาสหรัฐฯเผยว่า Zmapp จะเริ่มทดลองเฟส 1 เพื่อทดสอบความปลอดภัยได้เร็วที่สุดภายในต้นปี 2015 แต่ทว่าในขณะนี้ทางบริษัทไม่สามารถผลิตเซรุ่มเพิ่มเติมได้ ส่วนด้านวัคซีนอีโบลา โคบินเกอร์เผยว่า วัคซีนอีโบลาสัญชาติแคนาดาสามารถเริ่มการทดสอบความปลอดภัยเฟส 1 ได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึง
นอกจากนี้ WHO ยังได้แนะนำให้แพทย์เลือกใช้วิธีโบราณ “เลือดจากผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากอีโบลาในการรักษา” ซึ่งทีมรักษาซาคราเผยว่าทางทีมงานพิจารณาทางเลือกนี้เช่นกัน
ด้านครอบครัวของซาคราเปิดเผยว่า คนไข้สามารถทานอาหารเช้าได้เมื่อวานนี้(8) นับว่าเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ถูกส่งตัวกลับมาถึงสหรัฐฯในวันศุกร์(5) ทั้งนี้เด็บบี ซาคราเปิดใจกับสื่อว่า ถึงแม้ซาคราในวัย 51 ปีจะมีสภาพทรงตัว แต่จากการสนทนาผ่านวิโอคอนเฟอเรนซ์ในวันอาทิตย์(7)พบว่า ซาครานั้นมีการตื่นตัวมากขึ้นในช่วงการสนทนาตลอด 30 นาที “ริกแทบไม่สามารถทานอะไรได้นับตั้งแต่เดินทางมาถึงสหรัฐฯ แต่ในระยะหลังดูเหมือนว่าสามารถทานขนมปังกับซอสแอปเปิลได้บ้าง และยังสามารถทนต่อการรักษาด้วยยาขั้นทดลองได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าดีมากกว่าในโดสแรกที่ริกได้รับ”