เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตสแห่งโคลอมเบีย ตัดสินใจในวันพฤหัสบดี (21 ส.ค.) เลือก ฮาเบียร์ โฟลเรซ ประธานคณะเสนาธิการร่วมเป็นผู้นำทีมในการเจรจาสันติภาพที่มีเป้าหมายเพื่อยุติความขัดแย้งและไฟสงครามที่รุมเร้าประเทศมานานกว่า “ครึ่งศตวรรษ”
รายงานข่าวจากกรุงโบโกตาระบุว่า ประธานาธิบดีซานโตสได้มอบหมายให้โฟลเรซ เป็นผู้แทนซึ่งมีอำนาจเต็มของรัฐบาลโคลอมเบีย ในการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มกบฏนิยมซ้ายที่จับอาวุธทำสงครามกองโจรกับรัฐบาลมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1964 อย่าง “กองกำลังติดอาวุธเพื่อการปฏิวัติแห่งโคลอมเบีย” หรือกลุ่ม “ฟาร์ก”
คำแถลงตอนหนึ่งของประธานาธิบดีซานโตสระบุว่า การเจรจาสันติภาพระหว่างรัฐบาลโคลอมเบียและกลุ่มฟาร์กที่ดำเนินมาระยะหนึ่งโดยมีรัฐบาลคิวบาทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” นั้น ดำเนินมาอย่างสร้างสรรค์และใกล้บรรลุวัตถุประสงค์สำคัญ ทั้ง 2 ประการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการที่ฝ่ายกบฏจะยอมวางอาวุธ รวมถึงการหยุดยิงแบบถาวร
อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า กลุ่มกบฏฟาร์กจะเลือกผู้ใดนำทีมเจรจาของฝ่ายตน ท่ามกลางกระแสข่าวที่ระบุว่า แกนนำกลุ่มฟาร์กไม่พอใจรัฐบาลโคลอมเบียที่เลือกฮาเบียร์ โฟลเรซเป็นหัวหน้าทีมเจรจา เนื่องจากนายทหารระดับสูงแห่งกองทัพโคลอมเบียในวัย 57 ปีรายนี้ เคยเป็นผู้นำปฏิบัติการทางทหารที่สังหารสมาชิกกลุ่มฟาร์กไปเป็นจำนวนมาก รวมถึง ฮอร์เฆ บริเซโน หรือ “โมโน โฮฮอย” ผู้นำกลุ่มเมื่อปี 2010 และราอูล เรเยส แกนนำอันดับสองของกลุ่มฟาร์กในปี 2008
ทั้งนี้ การเจรจาสันติภาพที่กรุงฮาวานา เมืองหลวงของคิวบาระหว่างรัฐบาลโคลอมเบียและกลุ่มกบฏฟาร์ก ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2012 มีความคืบหน้าไปพอสมควร
โดยนับถึงขณะนี้ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ในหลายประเด็นแล้วทั้งเรื่องปฏิรูปที่ดิน การเปิดโอกาสให้สมาชิกกลุ่มฟาร์กได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองในอนาคต รวมถึงการร่วมมือกันในการต่อสู้กับปัญหาการค้ายาเสพติดที่แกนนำกลุ่มฟาร์กบางราย ใช้เป็นช่องทางในการหารายได้มาใช้สนับสนุนการทำสงครามกับฝ่ายรัฐบาล
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายยังเหลือการเจรจากันใน 2 ประเด็นหลัก คือ การหยุดยิงถาวรและการปลดอาวุธของฝ่ายกบฏ ซึ่งหากได้ข้อสรุปในประเด็นทั้งสองก็จะนำไปสู่การประกาศข้อตกลงสันติภาพอย่างเป็นทางการ เพื่อยุติความขัดแย้งตลอดครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาที่ส่งผลให้ชาวโคลอมเบียเสียชีวิตไปมากกว่า 220,000 คน ขณะที่อีกมากกว่า 5 ล้านคนต้องอพยพทิ้งบ้านเรือนของตนเพื่อหนีภัยการสู้รบ