เอเอฟพี/เอเจนซีส์ - องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ออกแถลงการณ์ล่าสุดวันอังคาร (19) ประกาศว่า ไวรัสอีโบลาสังหารชีวิตคนถึง 84 รายภายในแค่ 3 วัน ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มเป็น 1229 คน ในขณะที่สื่อ NBC News สหรัฐฯ เปิดภาพสะท้อนภัยอีโบลาในไลบีเรียที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ด้านเจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลอาสสมัครในเวสต์แอฟริกาต้องรับมือ 14 ชม.ต่อวันใน 1 สัปดาห์ท่ามกลางข่าวลือจากชาวบ้าน หรือผู้ป่วยที่กล่าวหาอาสาสมัครว่านำโรคติดต่อมาให้ หรือแม้กระทั่งขโมยศพ
ยอดเสียชีวิตรวมทั่วโลกของผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลาทะลุเกินพันคนกว่าสัปดาห์มาแล้ว ที่มีตัวเลขผู้เสียชีวิตพุ่งสูงตั้งแต่วันพฤหัสบดี (14) จนถึงวันเสาร์ (16) ที่ผ่านมา และตัวเลขการติดเชื้อตลอดช่วง 3 วันนี้แตะ 113 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อทั่วโลกมีทั้งหมด 2240 คน WHO แถลง
โรคระบาดร้ายแรงระดับ 4 ที่แพร่อยู่ใน 4 ประเทศแอฟริกาตะวันตกนับตั้งแต่เริ่มระบาดครั้งแรกในกินีตั้งแต่ต้นปีถือว่าร้ายแรงที่สุดนับตั้งแต่โรคอีโบลาถูกค้นพบเมื่อ 40 ปีมาแล้วที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และไลบีเรียถือเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบการระบาดมากที่สุดที่มีตัวเลขผู้เสียชีวิตล่าสุด 53 คน และมีผู้ติดเชื้อใหม่อีก 48 คน และทำให้ตัวเลขเสียชีวิตทั้งหมดในไลบีเรียสูงถึง 466 คน และจำนวนรวมผู้ติดเชื้อ 834 คน
สื่อสหรัฐฯ NBC News รายงานชุดภาพข่าวสงครามอีโบลาในไลบีเรียที่มีการแสดงถึงห้องกักกันผู้ติดเชื้อ รวมไปถึงผู้ป่วยที่ต้องนอนรอบนพื้นดินด้านนอกเพื่อเข้ารับการรักษาที่ศุนย์การแพทย์ไร้พรมแดน และเหตุการณ์วันเสาร์ (16) ที่ม็อบชาวบ้านบุกเข้าไปขอให้ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสอีโบลาออกมาจากห้องกักกันพิเศษเพราะเชื่อว่า “ไวรัสอีโบลาไม่มีจริงที่เวสต์พอยต์” และเป็นผลให้ผู้ป่วยจำนวน 37 คนหลบออกมา ส่วนมากเดินทางกลับไปยังบ้านเรือนของตนเองมีผู้ป่วยจำนวน 20 คนเดินทางกลับไปยังโรงพยาบาล แต่ผู้ป่วยติดเชื้ออีกถึง 17 รายยังคงอยู่ในระหว่างการหลบหนี
และรัฐบาลไลบีเรียได้ทำการเปิดศูนย์การรักษาอีโบลาขนาด 120 เตียงในวันเสาร์ (16) แต่คาดว่าจะมีผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการมากถึง 3 เท่าเนื่องมาจากความร้ายแรงของโรค ประกอบกับเหตุการหลบหนีของผู้ติดเชื้อส่วนหนึ่ง การเปิดศูนย์อิโบลาแห่งใหม่เพราะศูนย์เดิมนั้นไม่สามารถแบกรับผู้ป่วยที่แน่นขนัดได้
ด้านเซียร์ราลีโอน มีผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่ม 38 คน และมีผู้เสียชีวิต 17 ราย WHO แถลง และแถลงเพิ่มเติมว่า ทำให้ตัวเลครวมการติดเชื้อของเซียร์ราลีโอนอยู่ที่ 848 คน และยอดเสียชีวิตรวมที่ 365 คน
ในขณะที่กินีมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 24 ราย และมีผู้เสียชีวิตอีก 14 ราย ทำให้กินีมีตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุด 543 คน และตัวเลขผู้เสียชีวิต394 คน
และประเทศสุดท้าย ไนจีเรียมีตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น 3 ราย แต่ยังไม่มีรายงานเพิ่มถึงผู้เสียชีวิต ส่งผลให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโดยรวมที่ 15 ราย และยอดโดยรวมของผู้เสียชีวิต 4 ราย
นอกจากความทรมานของผู้ติดเชื้อและญาติที่ต้องเห็นคนที่รักจากไปแล้ว สื่อ USA TODAY รายงานว่า บรรดาอาสาสมัครทางการแพทย์ในแอฟริกาตะวันตกที่เป็นชาวต่างชาติต้องทำงานหนัก 14 ชม.ต่อวันใน 1 สัปดาห์ในสภาพที่ต้องสวมชุดป้องกันชีวภาพระดับ 4 ที่ต้องปกปิดตั้งแต่หัวจรดเท้าในสภาพอากาศร้อนจัด และผู้ป่วยสามารถเห็นแค่ดวงตาของเหล่าเจ้าหน้าที่ได้เท่านั้น
และที่สำคัญกว่าความยากลำบากในการต้องรักษาผู้ป่วย เหล่าผู้ปฎิบัติงานต้องพยายามหว่านล้อมให้ผู้ป่วยและชาวบ้านเชื่อมั่นว่า พวกเขาและเธอเหล่านั้นมาดี และไม่เป็นไปเช่นแระแสข่าวลือว่า ชาวต่างชาติเป็นพาหะนำโรค ขโมยศพผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อ “คุณมีคำพูดมากมายที่ต้องการจะกล่าว เพราะเหล่าผู้ป่วยอยู่ในสภาพทรมานมาก แต่สิ่งที่ผู้ป่วยเห็นมีเพียงแค่ดวงตาของพวกเรา เจ้าหน้าที่ปฎิบัติงาน” โมเนีย ซายาห์ (Monia Sayah) พยาบาลประจำแพทย์ไร้พรมแดนกล่าว
และเธอกล่าวเสริมว่า ในสภาพที่อากาศร้อนจัด แต่กลับต้องปฎิบัติหน้าที่ในชุดปกปิดมิดชิดทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องเกิน 1 ชม.เมื่อคุณได้รับมอบหมายให้ทำงานเกี่ยวข้องกับเลือดติดเชื้อและ IVs คุณต้องให้ความสนใจแต่เฉพาะสิ่งที่ต้องทำเพราะคุณรู้ว่า จะมีเจ้าหน้าที่จากทีมอื่นมาดูแลด้านอาหารและน้ำให้ผู้ป่วยเอง
ด้านนายแพทย์โรเบิร์ต เฟาว์เลอร์ (Robert Fowler) เจ้าหน้าที่จากแพทย์ไร้พรมแดนที่เพิ่งเริ่มทำงานในเซียร์ราลีโอนและกินี ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ถึงแม้จะเหนื่อยมาก และอยู่ในสภาพขาดน้ำ รวมถึงความกดดันทางอารมณ์อย่างหนัก แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถหยุดปฎิบัติงานได้ “เมื่อมีวิกฤตความต้องการรักษาขั้นร้ายแรง คุณไม่สามารถขอตัวหยุดพัก 1 วัน หรือขอเลิกงานกลับบ้านก่อนได้ และเป็นเพราะอัตราการเสียชีวิตของโรคอีโบลาที่มีสูง ทำให้คุณแน่ใจได้เลยว่าคนไข้ในหวอดของคุณบางคนอาจไม่รอดมีชีวิตอยู่ข้ามคืนถัดไป” เฟาว์เลอร์กล่าว
และ Cokie van der Velde เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขอนามัยของแพทย์ไร้พรมแดนในกินีและไลบีเรียเล่าถึงประสบการณ์สุดสยองที่มีหน้าที่ต้องทำความสะอาดห้องผู้ป่วย เก็บศพ และทำความสะอาดถังถ่ายหนักและเบาว่า “เมื่อเดินเข้าไปถึงห้องผู้ป่วย พบภาพน่าสยดสยองที่ผู้ป่วยทั้ง 4 เสียชีวิตในท่าที่สยดสยองเป็นอย่างยิ่งพร้อมทั้งเลือดและอุจาระจำนวนมากเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด เพราะในคืนนั้นมีผู้ป่วยชายพยายามคลานไปที่ประตูแต่ต้องเสียชีวิตก่อนที่จะออกไปได้ ในขณะที่อีกคนเหมือนจะตกจากเตียงเสียชีวิตในสภาพหลังโค้งงอที่ทั้งแขนและขาแตะพื้นคล้ายกับภาพยนตร์เดอะเอ็กโซซิสต์
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของแพทย์ไร้พรมแดนยอมรับว่า การรับมือแต่การสูญเสียคนไข้ในสภาพน่าหดหู่เป็นการยากที่จะรับเนื่องจากพวกเขาและเธอเป็นความหวังสุดท้ายของผู้ป่วยในแอฟริกาตะวันตกที่จะมีโอกาสมีชีวิตรอด