(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Vanishing point …
By Pepe Escobar
15/08/2014
ตอนแรกทีเดียว เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 สูญหายไป หลังจากนั้นมันก็หายลับไปจากวงจรข่าวสารด้วย ถัดมา เครื่องบินโดยสารของสายการบินเดียวกันในเที่ยวบิน MH17 ได้ถูกยิงตก แล้วมันก็หายลับไปจากหน้าหนึ่งของสื่อมวลชนทั้งหลายเช่นกัน ไม่มีอีกแล้วรายงานข่าวเกี่ยวกับ “กล่องดำ” บันทึกข้อมูลการบินของมัน ตลอดจนข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ชะตากรรมของ MH370 นั้น อาจจะยังคงเป็นเรื่องดำมืดที่ไม่มีใครทราบแน่ชัด ทว่าชะตากรรมของ MH17 เป็นเรื่องราวอันธรรมดาสามัญกว่ากันมาก ดังนั้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ภาคประชาสังคมของโลกจะยอมรับและยอมปล่อยให้กรณีหลังนี้ กลายเป็นปริศนาลึกลับเช่นเดียวกันหรือไม่
ตอนแรกทีเดียว เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 สูญหายไปจากพื้นพิภพนามว่า “โลก” ดวงนี้ หลังจากนั้น MH370 ก็หายลับไปจากวงจรข่าวสารด้วย
ตอนแรกทีเดียว พื้นพิภพนามว่า “โลก” ได้รับการบอกกล่าวเล่าขานว่า เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกโดย “ขีปนาวุธของปูติน” หลังจากนั้น MH17 ก็หายลับไปจากวงจรข่าวสารเช่นกัน
บ็อดริลาร์ (Baudrillard) [1] อยู่ที่ไหนนะ ในเวลาที่เราต้องการตัวเขาเหลือเกินอย่างนี้? ถ้าหากเวลานี้เขายังมีชีวิตอยู่แล้ว เราก็คงจะได้อ่านข้อเขียนเกี่ยวกับการนำเอากรณีของเครื่องบินมาเลเซีย 2 ลำนี้มาปอกเปลือกทีละชั้นๆ แล้วประกอบเข้าไปใหม่ อย่างชัดเจนถี่ถ้วนแบบเดียวกับภาพที่ปรากฏบนกระจกเงาทีเดียว ตั้งแต่การหายวับไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไปจนถึงการปรากฏขึ้นมาอย่างกระจะเต็มตา จากนั้นก็หายวับไปอีกคำรบหนึ่ง
บางที เครื่องบินทั้ง 2 ลำนี้อาจจะถูกลักพาและถูกยิงตาจากพวกมนุษย์ต่างด้าวก็ได้นะ! เพราะเดี๋ยวคุณก็มองเห็น เดี๋ยวก็มองไม่เห็นมันเสียแล้ว
กล่องดำ, ข้อมูลการบินที่บันทึกเอาไว้ – ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเที่ยวบิน MH17 ในเวลานี้กำลังลอยเท้งเต้งอยู่ในความว่างเปล่าอันดำมืดสนิท พวกอังกฤษกำลังทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งอาจจะใช้เวลายาวนานไปตลอดกาลก็เป็นได้ และถ้าหากพวกเขาได้ผลการวิเคราะห์ออกมาแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยในตอนนี้
สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ซึ่งมีวิสัยทัศน์อันชัดเจนแจ๋วแหววเกี่ยวกับยูเครน ย่อมทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียไม่เพียงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น แต่ยังแพล็มแว้บๆ ออกมาให้เห็นในการแถลงข่าวของทางการแดนหมีขาวด้วย ทว่าถูกปฏิเสธไม่ยอมรับรองจาก “ฝ่ายตะวันตก” ถึงแม้การวิเคราะห์ทางเทคนิคชั้นเยี่ยมๆ หลายๆ ชิ้นต่างชี้ว่า มันไม่ใช่ “ขีปนาวุธของปูติน” ซึ่งก็คือ ขีปนาวุธ “บุค” (BUK) หรอกที่ใช้ยิงเครื่องบินโดยสารลำนี้ตก หากแต่เป็นการผสมผสานกันของ ขีปนาวุธชนิดยิงจากอากาศสู่อากาศแบบ R-60 กับปืนใหญ่อัตโนมัติของเครื่องบินขับไล่รุ่น Su-25
ผู้อ่านท่านหนึ่งเป็นคนที่นำผมมาสู่ข้อเขียนประเมินเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมชิ้นนี้ ซึ่งเขียนโดย เรย์มอนด์ โบลห์ม (Raymond Blohm) อดีตวิศวกรของกองทัพอากาศสหรัฐฯและบริษัทโบอิ้ง
เขาเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ “ด้วยการใช้เวคเตอร์ที่เหมาะสม Su-25 ลำหนึ่งไม่จำเป็นจะต้องใช้ความเร็วให้เท่าๆ กับโบอิ้ง 777 ซึ่งกำลังบินด้วยความเร็วคงที่ขณะบินระยะไกลหรอก สิ่งที่ Su-25 จะต้องทำก็เพียงแค่เข้าไปยังตำแหน่งที่สามารถยิงขีปนาวุธได้ เนื่องจาก 777 ลำนี้ไม่ได้กำลังบินฉวัดเฉวียน มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าว่า Su-25 ควรจะเข้าไปอยู่ตรงจุดไหนบนท้องฟ้าข้างใต้ 777 จากตรงนั้น Su-25 ก็จะมีสมรรถนะทางด้านอัตราเร็วและทางด้านความสูงที่จะยิงใส่ 777 (R-60 เป็นขีปนาวุธที่มีสมรรถนะสูงมาก) หลังจากขีปนาวุธยิงไปถูกเครื่องยนต์แล้ว อัตราเร็วสูงสุดและเพดานความสูงสูงสุดของ 777 ก็อยู่ภายในขอบเขตสมรรถนะแห่งอัตราเร็วและความสูงของเครื่องบินขับไล่ Su-25 และแล้ว Su-25 ก็จะสามารถอวดให้เห็นอำนาจแห่งปืนใหญ่ของมันได้”
ไม่ว่าจะด้วยการไล่ติดตามตรวจสอบดูซากความเสียหายของเครื่องบิน ไม่ว่าจะด้วยการไล่ติดตามตรวจสอบดูซากความเสียหายของห้องนักบิน ไม่ว่าจะด้วยการพินิจพิเคราะห์กันถึงมูลเหตุจูงใจ สิ่งที่จะต้องทำให้ได้ ก็คือ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ก็จักต้องไม่ให้ใครเลยสามารถจินตนาการได้ว่าเหตุร้ายแรงคราวนี้มีระบอบปกครองในกรุงเคียฟเป็นผู้รับผิดชอบ เรื่องทั้งหมดจะต้อง “แว้บ” หายวับไปทั้งหมด ตามแบบฉบับแนวคิดของจักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย (Empire of Chaos) [2]
ดังนั้น ก็เฉกเช่นเดียวกับที่ MH370 สูญหายไปโดยไร้ร่องรอยอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวเกี่ยวกับ MH17 ก็จะต้องสูญหายไปอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน ในที่สุดแล้วพวกดัตช์และพวกอังกฤษซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ดำเนินการสอบสวน อาจจะต้องจัดการแถลงข่าวอย่างเอะอะเกรียวกราว เพื่อบอกเล่าให้โลกรับรู้สิ่งที่ในทางเป็นจริงได้ถูกดัดแปลงไปเสียแล้ว กระนั้น เราก็ยังอาจตั้งความหวังเอากับบรรดาครอบครัวชาวดัตช์จำนวนมากที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักไป ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่ายังคงมีความโกรธกริ้วหลงเหลืออยู่ รวมทั้งเรายังอาจตั้งความหวังเอากับมาเลเซีย ซึ่งแน่นอนเช่นกันว่ายังคงมีความโกรธกริ้ว และย่อมปรารถนาที่จะตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นเรา?” “ทำไมเราต้องเจอไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ 2 ครั้งซ้อน?”
หลังจากทำการปอกเปลือกวิเคราะห์ถึง “ตรรกะ” ของกระบวนการอันวิกลจริตแห่งการทำให้ รัสเซีย/ปูติน กลายเป็นปีศาจร้ายในสายตาชาวโลกคราวนี้แล้ว มอสโกย่อมตระหนักเป็นอันดีว่าไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรออกมา ก็จะต้องถูก “ตำรวจทางความคิด” (Thought Police) ระดับโลกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่าไม่สมเหตุสมผล ไม่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ “เจ้านาย” สามารถควบคุมสิ่งซึ่งคณะผู้สอบสวนชาวดัตช์และชาวอังกฤษจะต้องแถลงข่าวออกมาท้ายในที่สุด ทว่ารัสเซียย่อมสามารถยิงหมัดตอบโต้กลับ ด้วยการปล่อยภาพจำลองสถานการณ์อันสำคัญ ให้รั่วไหลไปถึงมาเลเซีย แล้วมาเลเซียก็จะเป็นฝ่ายที่พูดออกมา
MH370 สูญหายไปแบบไร้ร่องรอยเหมือนอย่างกับในเกมวิดีโอ MH17 ก็ถูกยิงร่วงเหมือนอย่างกับในเกมวิดีโอ มาถึงตอนนี้คำบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวของเครื่องบินโดยสาร 2 ลำนี้ ก็กำลังสูญสลายหายไปเช่นเดียวกัน ช่างเหมือนกับเรากำลังฝึกซ้อมเล็กๆ เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ตามทฤษฎี black hypothesis of post-history
ดาราเอกของนักโพสต์โมเดิร์น อย่างเช่น ฌอง-ฟรังซัวส์ ลีโอตาร์ (Jean-Francois Lyotard) และต่อมาคือ ลีเวน เดอ โกเตร์ (Lieven De Cauter) นักคิดชาวเฟลมิช เป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดหาได้ยากเต็มที ซึ่งกำลังศึกษาอย่างทีเล่นทีจริงในเรื่องทฤษฎี black hypothesis นี้
ทั้งนี้ black hypothesis เป็นการพูดถึงโลกในจินตนาการอันเลวร้ายอย่างถึงที่สุด โดยมุ่งคิดค้นถึงช่วงเวลาแห่งจักรวาลหลังจากการดับสลายของดวงอาทิตย์ นั่นคือประมาณ 4,500 ล้านปีถัดจากเวลานี้ไป ทฤษฎีนี้โดยพื้นฐานแล้ว ว่าด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ยังเหลืออยู่ภายหลังการตายจากไปของดวงอาทิตย์ และการตายจากไปมนุษยชาติเอง
ดังนั้น MH370 อาจจะหายวับเข้าไปในห้องพักคอยของ black hypothesis แต่สำหรับ MH17 แล้ว มันเป็นเรื่องราวที่มีความธรรมดาสามัญกว่ากันมาก และสามารถกล่าวโทษใครอย่างผิดๆ ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ภายใต้กฎเกณฑ์ของ “จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย” มันก็จะต้องหายวับไปเช่นเดียวกัน
คำถามมีอยู่ว่าภาคประชาสังคมของโลกจะยอมรับให้มันเป็นเช่นนี้หรือไม่ หรือว่าเอาเข้าจริงแล้ว ภาคประชาสังคมของโลกก็ได้ย่างเท้าเข้าสู่จุดแห่งการสูญสลายหายวับของตนเองเสียแล้ว
*หมายเหตุผู้แปล*
[1] ฌอง บ็อดริลาร์ (Jean Baudrillard) เกิด 27 ก.ค.1929 เสียชีวิต 6 มี.ค.2007 นักสังคมวิทยา-นักปรัชญา-นักทฤษฎีวัฒนธรรม-นักวิจารณ์การเมือง-นักถ่ายภาพชาวฝรั่งเศส ผู้มีผลงานโดดเด่นเกี่ยวกับลัทธิโพสต์โมเดิร์น (PostModernism) โดยเฉพาะ post-structuralism (ข้อมูลจาก Wikipedia)
[2] จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย (Empire of Chaos) เป็นคำที่ผู้เขียน คือ เปเป้ เอสโคบาร์ ประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อใช้เรียกสหรัฐอเมริกา
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com
Vanishing point …
By Pepe Escobar
15/08/2014
ตอนแรกทีเดียว เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 สูญหายไป หลังจากนั้นมันก็หายลับไปจากวงจรข่าวสารด้วย ถัดมา เครื่องบินโดยสารของสายการบินเดียวกันในเที่ยวบิน MH17 ได้ถูกยิงตก แล้วมันก็หายลับไปจากหน้าหนึ่งของสื่อมวลชนทั้งหลายเช่นกัน ไม่มีอีกแล้วรายงานข่าวเกี่ยวกับ “กล่องดำ” บันทึกข้อมูลการบินของมัน ตลอดจนข้อมูลข่าวสารอื่นๆ ชะตากรรมของ MH370 นั้น อาจจะยังคงเป็นเรื่องดำมืดที่ไม่มีใครทราบแน่ชัด ทว่าชะตากรรมของ MH17 เป็นเรื่องราวอันธรรมดาสามัญกว่ากันมาก ดังนั้น จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ภาคประชาสังคมของโลกจะยอมรับและยอมปล่อยให้กรณีหลังนี้ กลายเป็นปริศนาลึกลับเช่นเดียวกันหรือไม่
ตอนแรกทีเดียว เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH370 สูญหายไปจากพื้นพิภพนามว่า “โลก” ดวงนี้ หลังจากนั้น MH370 ก็หายลับไปจากวงจรข่าวสารด้วย
ตอนแรกทีเดียว พื้นพิภพนามว่า “โลก” ได้รับการบอกกล่าวเล่าขานว่า เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกโดย “ขีปนาวุธของปูติน” หลังจากนั้น MH17 ก็หายลับไปจากวงจรข่าวสารเช่นกัน
บ็อดริลาร์ (Baudrillard) [1] อยู่ที่ไหนนะ ในเวลาที่เราต้องการตัวเขาเหลือเกินอย่างนี้? ถ้าหากเวลานี้เขายังมีชีวิตอยู่แล้ว เราก็คงจะได้อ่านข้อเขียนเกี่ยวกับการนำเอากรณีของเครื่องบินมาเลเซีย 2 ลำนี้มาปอกเปลือกทีละชั้นๆ แล้วประกอบเข้าไปใหม่ อย่างชัดเจนถี่ถ้วนแบบเดียวกับภาพที่ปรากฏบนกระจกเงาทีเดียว ตั้งแต่การหายวับไปอย่างสมบูรณ์แบบ ไปจนถึงการปรากฏขึ้นมาอย่างกระจะเต็มตา จากนั้นก็หายวับไปอีกคำรบหนึ่ง
บางที เครื่องบินทั้ง 2 ลำนี้อาจจะถูกลักพาและถูกยิงตาจากพวกมนุษย์ต่างด้าวก็ได้นะ! เพราะเดี๋ยวคุณก็มองเห็น เดี๋ยวก็มองไม่เห็นมันเสียแล้ว
กล่องดำ, ข้อมูลการบินที่บันทึกเอาไว้ – ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเที่ยวบิน MH17 ในเวลานี้กำลังลอยเท้งเต้งอยู่ในความว่างเปล่าอันดำมืดสนิท พวกอังกฤษกำลังทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์เหล่านี้ ซึ่งอาจจะใช้เวลายาวนานไปตลอดกาลก็เป็นได้ และถ้าหากพวกเขาได้ผลการวิเคราะห์ออกมาแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยในตอนนี้
สำหรับกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ซึ่งมีวิสัยทัศน์อันชัดเจนแจ๋วแหววเกี่ยวกับยูเครน ย่อมทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะที่หน่วยข่าวกรองรัสเซียไม่เพียงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเท่านั้น แต่ยังแพล็มแว้บๆ ออกมาให้เห็นในการแถลงข่าวของทางการแดนหมีขาวด้วย ทว่าถูกปฏิเสธไม่ยอมรับรองจาก “ฝ่ายตะวันตก” ถึงแม้การวิเคราะห์ทางเทคนิคชั้นเยี่ยมๆ หลายๆ ชิ้นต่างชี้ว่า มันไม่ใช่ “ขีปนาวุธของปูติน” ซึ่งก็คือ ขีปนาวุธ “บุค” (BUK) หรอกที่ใช้ยิงเครื่องบินโดยสารลำนี้ตก หากแต่เป็นการผสมผสานกันของ ขีปนาวุธชนิดยิงจากอากาศสู่อากาศแบบ R-60 กับปืนใหญ่อัตโนมัติของเครื่องบินขับไล่รุ่น Su-25
ผู้อ่านท่านหนึ่งเป็นคนที่นำผมมาสู่ข้อเขียนประเมินเหตุการณ์อย่างเป็นธรรมชิ้นนี้ ซึ่งเขียนโดย เรย์มอนด์ โบลห์ม (Raymond Blohm) อดีตวิศวกรของกองทัพอากาศสหรัฐฯและบริษัทโบอิ้ง
เขาเขียนเอาไว้อย่างนี้ครับ “ด้วยการใช้เวคเตอร์ที่เหมาะสม Su-25 ลำหนึ่งไม่จำเป็นจะต้องใช้ความเร็วให้เท่าๆ กับโบอิ้ง 777 ซึ่งกำลังบินด้วยความเร็วคงที่ขณะบินระยะไกลหรอก สิ่งที่ Su-25 จะต้องทำก็เพียงแค่เข้าไปยังตำแหน่งที่สามารถยิงขีปนาวุธได้ เนื่องจาก 777 ลำนี้ไม่ได้กำลังบินฉวัดเฉวียน มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ ที่จะคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าว่า Su-25 ควรจะเข้าไปอยู่ตรงจุดไหนบนท้องฟ้าข้างใต้ 777 จากตรงนั้น Su-25 ก็จะมีสมรรถนะทางด้านอัตราเร็วและทางด้านความสูงที่จะยิงใส่ 777 (R-60 เป็นขีปนาวุธที่มีสมรรถนะสูงมาก) หลังจากขีปนาวุธยิงไปถูกเครื่องยนต์แล้ว อัตราเร็วสูงสุดและเพดานความสูงสูงสุดของ 777 ก็อยู่ภายในขอบเขตสมรรถนะแห่งอัตราเร็วและความสูงของเครื่องบินขับไล่ Su-25 และแล้ว Su-25 ก็จะสามารถอวดให้เห็นอำนาจแห่งปืนใหญ่ของมันได้”
ไม่ว่าจะด้วยการไล่ติดตามตรวจสอบดูซากความเสียหายของเครื่องบิน ไม่ว่าจะด้วยการไล่ติดตามตรวจสอบดูซากความเสียหายของห้องนักบิน ไม่ว่าจะด้วยการพินิจพิเคราะห์กันถึงมูลเหตุจูงใจ สิ่งที่จะต้องทำให้ได้ ก็คือ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ก็จักต้องไม่ให้ใครเลยสามารถจินตนาการได้ว่าเหตุร้ายแรงคราวนี้มีระบอบปกครองในกรุงเคียฟเป็นผู้รับผิดชอบ เรื่องทั้งหมดจะต้อง “แว้บ” หายวับไปทั้งหมด ตามแบบฉบับแนวคิดของจักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย (Empire of Chaos) [2]
ดังนั้น ก็เฉกเช่นเดียวกับที่ MH370 สูญหายไปโดยไร้ร่องรอยอย่างสิ้นเชิง เรื่องราวเกี่ยวกับ MH17 ก็จะต้องสูญหายไปอย่างสิ้นเชิงเช่นเดียวกัน ในที่สุดแล้วพวกดัตช์และพวกอังกฤษซึ่งเป็นผู้รับหน้าที่ดำเนินการสอบสวน อาจจะต้องจัดการแถลงข่าวอย่างเอะอะเกรียวกราว เพื่อบอกเล่าให้โลกรับรู้สิ่งที่ในทางเป็นจริงได้ถูกดัดแปลงไปเสียแล้ว กระนั้น เราก็ยังอาจตั้งความหวังเอากับบรรดาครอบครัวชาวดัตช์จำนวนมากที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รักไป ซึ่งแน่นอนทีเดียวว่ายังคงมีความโกรธกริ้วหลงเหลืออยู่ รวมทั้งเรายังอาจตั้งความหวังเอากับมาเลเซีย ซึ่งแน่นอนเช่นกันว่ายังคงมีความโกรธกริ้ว และย่อมปรารถนาที่จะตั้งคำถามว่า “ทำไมต้องเป็นเรา?” “ทำไมเราต้องเจอไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ 2 ครั้งซ้อน?”
หลังจากทำการปอกเปลือกวิเคราะห์ถึง “ตรรกะ” ของกระบวนการอันวิกลจริตแห่งการทำให้ รัสเซีย/ปูติน กลายเป็นปีศาจร้ายในสายตาชาวโลกคราวนี้แล้ว มอสโกย่อมตระหนักเป็นอันดีว่าไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรออกมา ก็จะต้องถูก “ตำรวจทางความคิด” (Thought Police) ระดับโลกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่าไม่สมเหตุสมผล ไม่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ “เจ้านาย” สามารถควบคุมสิ่งซึ่งคณะผู้สอบสวนชาวดัตช์และชาวอังกฤษจะต้องแถลงข่าวออกมาท้ายในที่สุด ทว่ารัสเซียย่อมสามารถยิงหมัดตอบโต้กลับ ด้วยการปล่อยภาพจำลองสถานการณ์อันสำคัญ ให้รั่วไหลไปถึงมาเลเซีย แล้วมาเลเซียก็จะเป็นฝ่ายที่พูดออกมา
MH370 สูญหายไปแบบไร้ร่องรอยเหมือนอย่างกับในเกมวิดีโอ MH17 ก็ถูกยิงร่วงเหมือนอย่างกับในเกมวิดีโอ มาถึงตอนนี้คำบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวของเครื่องบินโดยสาร 2 ลำนี้ ก็กำลังสูญสลายหายไปเช่นเดียวกัน ช่างเหมือนกับเรากำลังฝึกซ้อมเล็กๆ เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ตามทฤษฎี black hypothesis of post-history
ดาราเอกของนักโพสต์โมเดิร์น อย่างเช่น ฌอง-ฟรังซัวส์ ลีโอตาร์ (Jean-Francois Lyotard) และต่อมาคือ ลีเวน เดอ โกเตร์ (Lieven De Cauter) นักคิดชาวเฟลมิช เป็นบุคคลจำนวนน้อยนิดหาได้ยากเต็มที ซึ่งกำลังศึกษาอย่างทีเล่นทีจริงในเรื่องทฤษฎี black hypothesis นี้
ทั้งนี้ black hypothesis เป็นการพูดถึงโลกในจินตนาการอันเลวร้ายอย่างถึงที่สุด โดยมุ่งคิดค้นถึงช่วงเวลาแห่งจักรวาลหลังจากการดับสลายของดวงอาทิตย์ นั่นคือประมาณ 4,500 ล้านปีถัดจากเวลานี้ไป ทฤษฎีนี้โดยพื้นฐานแล้ว ว่าด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีที่ยังเหลืออยู่ภายหลังการตายจากไปของดวงอาทิตย์ และการตายจากไปมนุษยชาติเอง
ดังนั้น MH370 อาจจะหายวับเข้าไปในห้องพักคอยของ black hypothesis แต่สำหรับ MH17 แล้ว มันเป็นเรื่องราวที่มีความธรรมดาสามัญกว่ากันมาก และสามารถกล่าวโทษใครอย่างผิดๆ ก็ได้ ด้วยเหตุนี้ ภายใต้กฎเกณฑ์ของ “จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย” มันก็จะต้องหายวับไปเช่นเดียวกัน
คำถามมีอยู่ว่าภาคประชาสังคมของโลกจะยอมรับให้มันเป็นเช่นนี้หรือไม่ หรือว่าเอาเข้าจริงแล้ว ภาคประชาสังคมของโลกก็ได้ย่างเท้าเข้าสู่จุดแห่งการสูญสลายหายวับของตนเองเสียแล้ว
*หมายเหตุผู้แปล*
[1] ฌอง บ็อดริลาร์ (Jean Baudrillard) เกิด 27 ก.ค.1929 เสียชีวิต 6 มี.ค.2007 นักสังคมวิทยา-นักปรัชญา-นักทฤษฎีวัฒนธรรม-นักวิจารณ์การเมือง-นักถ่ายภาพชาวฝรั่งเศส ผู้มีผลงานโดดเด่นเกี่ยวกับลัทธิโพสต์โมเดิร์น (PostModernism) โดยเฉพาะ post-structuralism (ข้อมูลจาก Wikipedia)
[2] จักรวรรดิแห่งความปั่นป่วนวุ่นวาย (Empire of Chaos) เป็นคำที่ผู้เขียน คือ เปเป้ เอสโคบาร์ ประดิษฐ์ขึ้นมา เพื่อใช้เรียกสหรัฐอเมริกา
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นคอลัมนิสต์ของเอเชียไทมส์ออนไลน์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com