(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Xi grows in confidence at China's helm
By Francesco Sisci
05/08/2014
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน สามารถมองย้อนหลังกลับไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจว่า ช่วงฤดูร้อนที่เพิ่งผ่านพ้น คือระยะเวลาที่เขาประสบความสำเร็จในหลายด้านหลายประการ ทั้งนี้ในขณะที่การก้าวถอยหลังออกมาจากการเผชิญหน้าทางทะเลกับเวียดนาม คือการแสดงให้เห็นถึงความยับยั้งชั่งใจอย่างใหม่ในทางด้านนโยบายการต่างประเทศ การปลดชนวนวิกฤตเรื่องการเลือกตั้งในฮ่องกงก็เป็นสิ่งตอกย้ำถึงการกล้าตัดสินใจของเขา และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ จากการประกาศตั้งข้อกล่าวหาทางด้านการเมืองอย่างเปิดเผยต่อ โจว หย่งคัง อดีตบิ๊กบอสทางด้านความมั่นคง สีก็กำลังส่งสัญญาณว่ามีความมุ่งมั่นผูกพันอย่างถึงที่สุดที่จะดำเนินการปฏิรูป
ปักกิ่ง - การเตรียมตัวสำหรับการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน น่าที่จะเดินหน้ากันอย่างเต็มสูบในเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนหน้างานใหญ่คราวนี้จะมีขึ้นในช่วงหลังของฤดูใบไม้ร่วง ณ ช่วงเวลานี้จึงดูจะเป็นจังหวะเวลาอันเหมาะสมที่จะหันมาพิจารณากันว่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองภายในประเทศจีนน่าจะเป็นอย่างไร เมื่อไปถึงฤดูหนาวที่กำลังเดินหน้าย่างกรายเข้ามาเยือน
เวลานี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดูเหมือนจะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ เอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ด้วยความเหนียวแน่นมั่นคงชนิดที่พรรคไม่ได้พบเห็นมานานนักหนาแล้วนับตั้งแต่ยุคของ เหมา เจ๋อตงเป็นต้นมา ในระยะไม่กี่สัปดาห์หลังๆ มานี้ การกุมอำนาจเอาไว้ได้อย่างมั่นคงเช่นนี้เอง ได้ช่วยให้ สี บรรลุความสำเร็จในงานที่ยากมากๆ ถึง 3 เรื่องด้วยกัน
เขาได้ก้าวถอยหลังออกมาจากการเผชิญหน้าแบบกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกและสลับซับซ้อนกับเวียดนาม ด้วยการให้ฝ่ายจีนเคลื่อนย้ายแท่นขุดเจาะน้ำมันออกจากพื้นที่ในทะเลจีนใต้ซึ่งได้ก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างเรือประมงและเรือพลเรือนของทั้งสองฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า เขากระทำเช่นนี้ได้โดยที่ไม่ต้องยอมรับว่ามันเป็นความเพลี่ยงพล้ำครั้งสำคัญในทางพฤตินัย เพราะระหว่างที่ชาวเวียดนามก่อการประท้วงใหญ่สืบเนื่องจากการเข้ามาของแท่นขุดเจาะน้ำมันนี้ ได้มีการทำร้ายนักธุรกิจชาวจีนบาดเจ็บเสียชีวิตไปหลายคน รวมทั้งยังขับไล่ไสส่งผู้ประกอบการที่มีเชื้อสายจีนออกจากประเทศไปแทบจะทั้งหมดทีเดียว
เขายังค้นพบหนทางซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็สามารถปลดชนวนบางส่วนของการทะเลาะวิวาททางการเมืองครั้งมโหฬารในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของประชาธิปไตยในฮ่องกง ปักกิ่งนั้นได้ออกเอกสารสมุดปกขาวว่าด้วยการเมืองในฮ่องกงมาฉบับหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าได้สร้างความขุ่นเคืองทำให้เกิดการคัดค้านกันครั้งใหญ่ขึ้น โดยในสมุดปกขาวฉบับนี้ตอกย้ำว่า การเลือกตั้งในฮ่องกงในปี 2017 จะยังคงจัดขึ้นตามกระบวนการอันยุ่งยากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งไม่ใช่เป็นการให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไป ชาวเมืองฮ่องกงจึงได้เริ่มต้นจัดการชุมนุมเดินขบวนโดยสงบต่อเนื่องกันเป็นชุดใหญ่เพื่อเรียกร้องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไป และตอนแรกๆ ทีเดียวปักกิ่งตกอยู่ในอาการไม่รู้ว่าจะตอบโต้รับมืออย่างไรดี
ถ้ายินยอมอ่อนข้อต่อพวกผู้ชุมนุมเดินขบวนอย่างง่ายๆ มันก็จะเท่ากับการยอมฉีกสมุดปกขาวที่เป็นเอกสารอย่างเป็นทางการ และรัฐบาลก็จะถูกมองว่าอ่อนแอไม่น่าเกรงขามอะไร ขณะเดียวกันหากใช้วิธีปราบปรามการประท้วง ก็จะทำให้ไต้หวันและทั่วโลกเกิดความหวั่นผวาเกี่ยวกับเจตนารมณ์อันไม่ค่อยจะเป็นไปอย่างสันติของฝ่ายปักกิ่ง ลงท้ายแล้ว จาง เต๋อเจียง ประธานสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของจีน ได้ออกมาแถลงว่า การเลือกตั้งปี 2017 จะยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการปฏิรูปทางการเมืองในฮ่องกง ท่าทีเช่นนี้ย่อมเท่ากับการเปิดประตูสำหรับการอ่อนข้อเพิ่มมากขึ้นต่อไปอีกในอนาคต
เรื่องสุดท้าย สี ได้ให้ป่าวประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับความลับซึ่งอันที่จริงก็เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางมาแรมเดือนแล้ว ได้แก่ กรณีที่ว่า โจว หย่งคัง อดีตบิ๊กบอสด้านความมั่นคงของจีน กำลังถูกสอบสวนความผิด ในที่นี้ขอให้สังเกตว่า ข้อกล่าวหาความผิดที่นำมาเล่นงานโจวนั้น ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องทางเศรษฐกิจ หากมีเรื่องทางการเมืองด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในแวดวงผู้นำแดนมังกร นับตั้งแต่กรณีการจบชีวิตทางการเมืองของ เจ้า จื่อหยาง เป็นต้นมา (เจ้า ถูกปลดออกจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ด้วยความผิดฐานให้ความสนับสนุนพวกนักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ในจัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989) พวกเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของพรรคคนอื่นๆ ซึ่งถูกถอดถูกปลดในช่วงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น เฉิน ซีถง เลขาธิการพรรคสาขาปักกิ่ง, เฉิน เหลียงอี๋ว์ เลขาธิการพรรคสาขาเซี่ยงไฮ้, โป๋ ซีไหล เลขาธิการพรรคสาขาฉงชิ่ง ล้วนแต่แค่ถูกตั้งข้อหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเท่านั้น
ข้อกล่าวหาเล่นงาน โจว ในคราวนี้นั้น มีลักษณะเป็นข้อกล่าวหาทางด้านการเมืองสูงมาก “เขาเข้าไปพัวพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประดาศูนย์กลางของกลุ่มผลประโยชน์อภิสิทธิ์ต่างๆ และคอยขัดขวางไม่ให้มีการดำเนินการปฏิรูป” [1] การตั้งข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังกระทำอย่างเปิดเผยมากๆ ผิดกับกรณีของ เจ้า จื่อหยาง ซึ่งยังคงเป็นกรณีที่ยากลำบากแก่การจัดการจวบจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไป ในท่ามกลางการกล่าวหาที่ว่าการกระทำของเขาคือความพยายามที่จะสร้างความแตกแยกขึ้นภายในพรรค ทว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวย่อมยากที่จะอธิบายด้วยหลักตรรกวิทยาแบบลัทธิเลนินของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เนื่องจาก เจ้า นั้นมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค นั่นคือ เป็นผู้นำที่อยู่หัวแถวสุด ดังนั้นจึงกลับเป็นการง่ายกว่าด้วยซ้ำถ้าหากจะโต้แย้งว่าพรรคต่างหากที่แตกแยกกับเขา
ในกรณีทั้งหลายเหล่านี้ สี ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มีนวัตกรรม และมีความสามารถที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังได้ด้วยความคล่องแคล่วหลักแหลม เขาดูเหมือนมีช่องมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวมากยิ่งกว่าพวกผู้นำจีนก่อนหน้าเขา โดยที่ผู้นำเหล่านั้นมักจำเป็นต้องหาทางรวบรวมให้ได้เสียงสนับสนุนเห็นพ้องอย่างชนิดกว้างขวางจากภายในพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบากมาก
แน่นอนทีเดียวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า สี สามารถตัดสินทุกสิ่งทุกด้วยตัวเองเลย ทว่าก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขามีช่องทางสำหรับการขยับไปข้างหน้าหรือการถอยหลังกลับมา ซึ่งเรื่องอย่างนี้แม้ควรถือเป็นความเคลื่อนไหวพื้นฐานในแวดวงการเมือง แต่ในประเทศจีนช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา กลับถูกปิดกั้นไม่ให้ทำเช่นนี้ได้ ด้วยระบบอันสลับซับซ้อนแห่ง “การตรวจสอบและคานอำนาจ” อย่างเป็นการภายในและอย่างลับๆ จนกระทั่งทำให้กลายเป็นเรื่องลำบากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะทำการตัดสินใจในเรื่องใดๆ และยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีกถ้าหากจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
เรื่องที่มีความสำคัญยิ่งกว่าที่กล่าวมาเสียอีก ได้แก่การที่ สี กำลังแสดงให้เห็นความคิดจิตใจแบบใหม่ ในด้านนโยบายการต่างประเทศนั้น เขาไม่ได้กลัวเกรงที่จะยอมถอยถอยอ่อนข้อ ดังที่เขาทำให้เห็นในกรณีเวียดนาม เขายังแสดงความตั้งใจพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อเขาเกิดก้าวเข้าไปในรังต่อรังแตนอย่างในกรณีฮ่องกง ยิ่งกว่านั้นเขายังกำลังเริ่มต้นสิ่งที่อาจจะเป็นการรณรงค์ทางการเมืองซึ่งทรงความสำคัญยิ่ง อันได้แก่การกล่าวหา โจว หย่งคัง ว่ากำลังขัดขวางการปฏิรูป เพราะนี่หมายความว่าคนจำนวนมากอาจถูกถอดจากตำแหน่งถูกเปลี่ยนตัว ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขารับสินบนเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะการผลักดันการปฏิรูปให้ก้าวคืบหน้าไปคือสิ่งที่ทรงความสำคัญอย่างที่สุดอีกด้วย นี่แหละคือการส่งสัญญาณให้เห็นถึงเข็มทิศชี้นำการเมืองในอนาคตข้างหน้า
*หมายเหตุ*
[1] ดูรายละเอียดได้ที่ http://news.sina.com.cn/pl/2014-07-31/140430608328.shtml
ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นนักวิจัยอาวุโสที่ทำงานอยู่กับ ศูนย์เพื่อยุโรปศึกษา (Center for European Studies) ของ มหาวิทยาลัยประชาชน (People's University) ในกรุงปักกิ่ง ความคิดเห็นที่แสดงไว้ในที่นี่เป็นของเขาเอง และมิได้มีความเกี่ยวข้องในทางใดๆ กับที่ทำงานของเขา
Xi grows in confidence at China's helm
By Francesco Sisci
05/08/2014
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน สามารถมองย้อนหลังกลับไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจว่า ช่วงฤดูร้อนที่เพิ่งผ่านพ้น คือระยะเวลาที่เขาประสบความสำเร็จในหลายด้านหลายประการ ทั้งนี้ในขณะที่การก้าวถอยหลังออกมาจากการเผชิญหน้าทางทะเลกับเวียดนาม คือการแสดงให้เห็นถึงความยับยั้งชั่งใจอย่างใหม่ในทางด้านนโยบายการต่างประเทศ การปลดชนวนวิกฤตเรื่องการเลือกตั้งในฮ่องกงก็เป็นสิ่งตอกย้ำถึงการกล้าตัดสินใจของเขา และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ จากการประกาศตั้งข้อกล่าวหาทางด้านการเมืองอย่างเปิดเผยต่อ โจว หย่งคัง อดีตบิ๊กบอสทางด้านความมั่นคง สีก็กำลังส่งสัญญาณว่ามีความมุ่งมั่นผูกพันอย่างถึงที่สุดที่จะดำเนินการปฏิรูป
ปักกิ่ง - การเตรียมตัวสำหรับการประชุมเต็มคณะของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน น่าที่จะเดินหน้ากันอย่างเต็มสูบในเดือนสิงหาคมนี้ ก่อนหน้างานใหญ่คราวนี้จะมีขึ้นในช่วงหลังของฤดูใบไม้ร่วง ณ ช่วงเวลานี้จึงดูจะเป็นจังหวะเวลาอันเหมาะสมที่จะหันมาพิจารณากันว่า ภูมิทัศน์ทางการเมืองภายในประเทศจีนน่าจะเป็นอย่างไร เมื่อไปถึงฤดูหนาวที่กำลังเดินหน้าย่างกรายเข้ามาเยือน
เวลานี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดูเหมือนจะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ เอาไว้ได้อย่างเต็มที่ ด้วยความเหนียวแน่นมั่นคงชนิดที่พรรคไม่ได้พบเห็นมานานนักหนาแล้วนับตั้งแต่ยุคของ เหมา เจ๋อตงเป็นต้นมา ในระยะไม่กี่สัปดาห์หลังๆ มานี้ การกุมอำนาจเอาไว้ได้อย่างมั่นคงเช่นนี้เอง ได้ช่วยให้ สี บรรลุความสำเร็จในงานที่ยากมากๆ ถึง 3 เรื่องด้วยกัน
เขาได้ก้าวถอยหลังออกมาจากการเผชิญหน้าแบบกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกและสลับซับซ้อนกับเวียดนาม ด้วยการให้ฝ่ายจีนเคลื่อนย้ายแท่นขุดเจาะน้ำมันออกจากพื้นที่ในทะเลจีนใต้ซึ่งได้ก่อให้เกิดการปะทะกันระหว่างเรือประมงและเรือพลเรือนของทั้งสองฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า เขากระทำเช่นนี้ได้โดยที่ไม่ต้องยอมรับว่ามันเป็นความเพลี่ยงพล้ำครั้งสำคัญในทางพฤตินัย เพราะระหว่างที่ชาวเวียดนามก่อการประท้วงใหญ่สืบเนื่องจากการเข้ามาของแท่นขุดเจาะน้ำมันนี้ ได้มีการทำร้ายนักธุรกิจชาวจีนบาดเจ็บเสียชีวิตไปหลายคน รวมทั้งยังขับไล่ไสส่งผู้ประกอบการที่มีเชื้อสายจีนออกจากประเทศไปแทบจะทั้งหมดทีเดียว
เขายังค้นพบหนทางซึ่งอย่างน้อยที่สุดก็สามารถปลดชนวนบางส่วนของการทะเลาะวิวาททางการเมืองครั้งมโหฬารในเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของประชาธิปไตยในฮ่องกง ปักกิ่งนั้นได้ออกเอกสารสมุดปกขาวว่าด้วยการเมืองในฮ่องกงมาฉบับหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าได้สร้างความขุ่นเคืองทำให้เกิดการคัดค้านกันครั้งใหญ่ขึ้น โดยในสมุดปกขาวฉบับนี้ตอกย้ำว่า การเลือกตั้งในฮ่องกงในปี 2017 จะยังคงจัดขึ้นตามกระบวนการอันยุ่งยากที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งไม่ใช่เป็นการให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไป ชาวเมืองฮ่องกงจึงได้เริ่มต้นจัดการชุมนุมเดินขบวนโดยสงบต่อเนื่องกันเป็นชุดใหญ่เพื่อเรียกร้องสิทธิออกเสียงเลือกตั้งอย่างเป็นการทั่วไป และตอนแรกๆ ทีเดียวปักกิ่งตกอยู่ในอาการไม่รู้ว่าจะตอบโต้รับมืออย่างไรดี
ถ้ายินยอมอ่อนข้อต่อพวกผู้ชุมนุมเดินขบวนอย่างง่ายๆ มันก็จะเท่ากับการยอมฉีกสมุดปกขาวที่เป็นเอกสารอย่างเป็นทางการ และรัฐบาลก็จะถูกมองว่าอ่อนแอไม่น่าเกรงขามอะไร ขณะเดียวกันหากใช้วิธีปราบปรามการประท้วง ก็จะทำให้ไต้หวันและทั่วโลกเกิดความหวั่นผวาเกี่ยวกับเจตนารมณ์อันไม่ค่อยจะเป็นไปอย่างสันติของฝ่ายปักกิ่ง ลงท้ายแล้ว จาง เต๋อเจียง ประธานสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติของจีน ได้ออกมาแถลงว่า การเลือกตั้งปี 2017 จะยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการปฏิรูปทางการเมืองในฮ่องกง ท่าทีเช่นนี้ย่อมเท่ากับการเปิดประตูสำหรับการอ่อนข้อเพิ่มมากขึ้นต่อไปอีกในอนาคต
เรื่องสุดท้าย สี ได้ให้ป่าวประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ เกี่ยวกับความลับซึ่งอันที่จริงก็เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางมาแรมเดือนแล้ว ได้แก่ กรณีที่ว่า โจว หย่งคัง อดีตบิ๊กบอสด้านความมั่นคงของจีน กำลังถูกสอบสวนความผิด ในที่นี้ขอให้สังเกตว่า ข้อกล่าวหาความผิดที่นำมาเล่นงานโจวนั้น ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องทางเศรษฐกิจ หากมีเรื่องทางการเมืองด้วย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในแวดวงผู้นำแดนมังกร นับตั้งแต่กรณีการจบชีวิตทางการเมืองของ เจ้า จื่อหยาง เป็นต้นมา (เจ้า ถูกปลดออกจากตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ด้วยความผิดฐานให้ความสนับสนุนพวกนักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ในจัตุรัสเทียนอันเหมินเมื่อปี 1989) พวกเจ้าหน้าที่ระดับอาวุโสของพรรคคนอื่นๆ ซึ่งถูกถอดถูกปลดในช่วงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น เฉิน ซีถง เลขาธิการพรรคสาขาปักกิ่ง, เฉิน เหลียงอี๋ว์ เลขาธิการพรรคสาขาเซี่ยงไฮ้, โป๋ ซีไหล เลขาธิการพรรคสาขาฉงชิ่ง ล้วนแต่แค่ถูกตั้งข้อหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นเท่านั้น
ข้อกล่าวหาเล่นงาน โจว ในคราวนี้นั้น มีลักษณะเป็นข้อกล่าวหาทางด้านการเมืองสูงมาก “เขาเข้าไปพัวพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประดาศูนย์กลางของกลุ่มผลประโยชน์อภิสิทธิ์ต่างๆ และคอยขัดขวางไม่ให้มีการดำเนินการปฏิรูป” [1] การตั้งข้อกล่าวหาเหล่านี้ยังกระทำอย่างเปิดเผยมากๆ ผิดกับกรณีของ เจ้า จื่อหยาง ซึ่งยังคงเป็นกรณีที่ยากลำบากแก่การจัดการจวบจนกระทั่งเขาเสียชีวิตไป ในท่ามกลางการกล่าวหาที่ว่าการกระทำของเขาคือความพยายามที่จะสร้างความแตกแยกขึ้นภายในพรรค ทว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวย่อมยากที่จะอธิบายด้วยหลักตรรกวิทยาแบบลัทธิเลนินของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เนื่องจาก เจ้า นั้นมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการใหญ่ของพรรค นั่นคือ เป็นผู้นำที่อยู่หัวแถวสุด ดังนั้นจึงกลับเป็นการง่ายกว่าด้วยซ้ำถ้าหากจะโต้แย้งว่าพรรคต่างหากที่แตกแยกกับเขา
ในกรณีทั้งหลายเหล่านี้ สี ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นผู้ที่มีนวัตกรรม และมีความสามารถที่จะเดินหน้าหรือถอยหลังได้ด้วยความคล่องแคล่วหลักแหลม เขาดูเหมือนมีช่องมีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวมากยิ่งกว่าพวกผู้นำจีนก่อนหน้าเขา โดยที่ผู้นำเหล่านั้นมักจำเป็นต้องหาทางรวบรวมให้ได้เสียงสนับสนุนเห็นพ้องอย่างชนิดกว้างขวางจากภายในพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ลำบากมาก
แน่นอนทีเดียวว่า เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า สี สามารถตัดสินทุกสิ่งทุกด้วยตัวเองเลย ทว่าก็เห็นได้ชัดเจนว่าเขามีช่องทางสำหรับการขยับไปข้างหน้าหรือการถอยหลังกลับมา ซึ่งเรื่องอย่างนี้แม้ควรถือเป็นความเคลื่อนไหวพื้นฐานในแวดวงการเมือง แต่ในประเทศจีนช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา กลับถูกปิดกั้นไม่ให้ทำเช่นนี้ได้ ด้วยระบบอันสลับซับซ้อนแห่ง “การตรวจสอบและคานอำนาจ” อย่างเป็นการภายในและอย่างลับๆ จนกระทั่งทำให้กลายเป็นเรื่องลำบากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะทำการตัดสินใจในเรื่องใดๆ และยิ่งยากเย็นขึ้นไปอีกถ้าหากจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ
เรื่องที่มีความสำคัญยิ่งกว่าที่กล่าวมาเสียอีก ได้แก่การที่ สี กำลังแสดงให้เห็นความคิดจิตใจแบบใหม่ ในด้านนโยบายการต่างประเทศนั้น เขาไม่ได้กลัวเกรงที่จะยอมถอยถอยอ่อนข้อ ดังที่เขาทำให้เห็นในกรณีเวียดนาม เขายังแสดงความตั้งใจพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อเขาเกิดก้าวเข้าไปในรังต่อรังแตนอย่างในกรณีฮ่องกง ยิ่งกว่านั้นเขายังกำลังเริ่มต้นสิ่งที่อาจจะเป็นการรณรงค์ทางการเมืองซึ่งทรงความสำคัญยิ่ง อันได้แก่การกล่าวหา โจว หย่งคัง ว่ากำลังขัดขวางการปฏิรูป เพราะนี่หมายความว่าคนจำนวนมากอาจถูกถอดจากตำแหน่งถูกเปลี่ยนตัว ไม่ใช่เพียงเพราะพวกเขารับสินบนเท่านั้น หากแต่เป็นเพราะการผลักดันการปฏิรูปให้ก้าวคืบหน้าไปคือสิ่งที่ทรงความสำคัญอย่างที่สุดอีกด้วย นี่แหละคือการส่งสัญญาณให้เห็นถึงเข็มทิศชี้นำการเมืองในอนาคตข้างหน้า
*หมายเหตุ*
[1] ดูรายละเอียดได้ที่ http://news.sina.com.cn/pl/2014-07-31/140430608328.shtml
ฟรานเชสโก ซิสซี เป็นนักวิจัยอาวุโสที่ทำงานอยู่กับ ศูนย์เพื่อยุโรปศึกษา (Center for European Studies) ของ มหาวิทยาลัยประชาชน (People's University) ในกรุงปักกิ่ง ความคิดเห็นที่แสดงไว้ในที่นี่เป็นของเขาเอง และมิได้มีความเกี่ยวข้องในทางใดๆ กับที่ทำงานของเขา