เอเอฟพี - คณะผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติวันนี้ (1 ส.ค.) กำลังพยายามเริ่มต้นการสืบสวนในจุดตกของเที่ยวบิน MH17 ของสายการบิน “มาเลเซียแอร์ไลน์ส” ซึ่งหยุดชะงักไปนับสัปดาห์” ในขณะที่กองกำลังยูเครนกร้าวว่า จะกลับมาดำเนินปฏิบัติการต่อต้านกลุ่มติดอาวุธฝักใฝ่รัสเซียอีกครั้ง หลังระงับภารกิจไปได้หนึ่งวัน
วานนี้ (31 ก.ค.) การสืบสวนเหตุเที่ยวบิน MH17 ถูกยิงตกทางภาคตะวันออกของยูเครน โดยเจ้าหน้าที่นานาชาติคืบหน้าไปเล็กน้อย เนื่องจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อเข้าสู่ที่เกิดเหตุเป็นครั้งแรกในรอบเกือบหนึ่งสัปดาห์ หลังจากรัฐบาลเคียฟออกมาประกาศระงับปฏิบัติการทหารต้านกลุ่มกบฏเป็นเวลา 1 วัน
ผู้เชี่ยวชาญจากเนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลียกลุ่มเล็กๆ พร้อมทั้งคณะผู้สังเกตการณ์นานาติได้เข้าสู่พื้นที่อันกว้างใหญ่ บริเวณที่เครื่องบินของมาเลเซียแอร์ไลน์สตกลงมา ภายหลังก่อนหน้านี้ เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังรัฐบาลยูเครนกับกลุ่มติดอาวุธนิยมมอสโก ทำให้พวกเขายังไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่ได้
เจ้าหน้าที่ตำรวจเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในภารกิจสืบสวนระดับนานาชาติครั้งนี้กล่าวว่า สถานการณ์ในพื้นที่รอบๆ จุดตกยังคงเป็นอันตราย แม้ว่าคณะทำงานกลุ่มเล็กๆ จะสามารถเข้าสู่ที่เกิดเหตุได้แล้วก็ตาม
พีเตอร์-ยาป อาลเบอร์สเบิร์ก หัวหน้าคณะผู้แทน ซึ่งรับหน้าที่นำร่างผู้เสียชีวิตกลับประเทศบ้านเกิดกล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงเคียฟว่า “สถานการณ์ความมั่นคงยังอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงมาก”
เขากล่าวว่า “เราไม่มั่นใจว่า จะสามารถเข้าไปถึงจุดที่เครื่องบินตก กับผู้เชี่ยวชาญทั้งคณะในอนาคตอันใกล้ได้หรือไม่ แต่ก็ยังมีความหวังมากกว่าเมื่อวาน”
ในช่วงที่ส่อแววว่าสถานการณ์ยังไม่ปลอดภัย ทีมผู้สื่อข่าวเอเอฟพีซึ่งติดตามคณะทำงานชุดนี้ หลังจากพวกเขาเข้าไปในจุดตกเพียงไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงระเบิดปะทุขึ้น ห่างจากจุดเกิดเหตุออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากนั้นก็เห็นกลุ่มควันดำพวยพุ่งออกมาจากหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กับซากเครื่องบินบางส่วน
ก่อนหน้านี้ กองทัพยูเครนได้ออกมาประกาศพักรบทั่วภาคตะวันออกเป็นเวลา 1 วัน ภายหลังที่ บัน คีมูน เลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกมาวิงวอนให้ยุติการสู้รบรอบจุดที่อากาศยานตก ซึ่งยังมีร่างผู้เสียชีวิตบางส่วนจากจำนวนทั้งหมด 298 ศพ ถูกทิ้งไว้กลางแจ้งนาน 2 สัปดาห์ นับตั้งแต่เครื่องบินโดยสารลำนี้ตกในพื้นที่ดังกล่าว
เคียฟได้ออกมากล่าวหาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า กลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียที่แผ่อิทธิพลควบคุมพื้นที่นี้ขัดขวางการสืบสวน และเตือนว่า กลุ่มติดอาวุธยังระดมยิงทหารยูเครนที่ประจำการทั่วภาคตะวันออก ขณะที่กบฏออกมาโต้กลับว่า กองกำลังยูเครนไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง
ทางด้าน นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค แห่งมาเลเซีย ได้วิงวอนให้ทั้งกองกำลังยูเครน และกลุ่มติดอาวุธฝักใฝ่มอสโก “หยุดยิงทันที” ทั้งในและโดยรอบจุดที่เครื่องบินตก ระหว่างที่ผู้นำรัฐบาลเสือเหลืองเยือนเนเธอร์แลนด์
ทางฝ่าย ประธานาธิบดี เปโตร โปโรเชนโก แห่งยูเครน แถลงว่า การลงสำรวจที่เกิดเหตุเมื่อวาน (31) เป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งยังรับประกันว่า คณะผู้เชี่ยวชาญจะสามารถตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ทุกวัน นับตั้งแต่วันนี้ (1) เป็นต้นไป ระหว่างที่เขาสนทนากับนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ทางโทรศัพท์ พร้อมกันนี้ โปโรเชนโกได้เรียกร้องให้กบฏทำตามข้อตกลงหยุดยิงในรัศมี 20 เมตรจากจุดที่มีซากเครื่องบิน
เหล่าชาติตะวันตกชี้ว่า เครื่องบินลำนี้น่าจะถูกกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียใช้ขีปนาวุธยิงตกเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่กบกฏได้ออกมาโต้ว่า อากาศยานลำนี้อาจถูกเครื่องบินขับไล่ของกองทัพยูเครนสอยร่วง
สำหรับเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจด้านการบินของรัสเซียกล่าวว่า คณะผู้เชี่ยวชาญของมอสโกได้เดินทางไปถึงกรุงเคียฟแล้ว และคาดหมายว่าจะไปถึงจุดเกิดเหตุในที่สุด
ในเวลาเดียวกันนี้ คณะผู้แทนในการเจรจาจากกรุงเคียฟได้เริ่มหารือกันในกรุงมินสก์ ของเบลารุส โดยการเจรจาครั้งที่ผ่านๆ มายังคงไม่ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด และแทบไม่มีหวังว่า จะช่วยให้ผ่าทางตันในปัญหาสำคัญๆ ได้ แม้ว่าสื่อรัสเซียรายงานว่า กลุ่มกบฏจะมาเข้าร่วมการหารือด้วยก็ตาม
ทั้งนี้ ในวันเดียวกันรัฐสภายูเครนได้อนุมัติให้เนเธอร์แลนด์และออสเตรเลีย ส่งบุคลากรทางทหาร 950 นายเข้ามาในประเทศ เพื่อปกป้องทีมสืบสวน ณ จุดตกของเครื่องบิน โดยผู้โดยสารที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นพลเมืองของทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม จูลี บิชอป รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลียกล่าวกับผู้สื่อข่าวที่กรุงเคียฟว่า ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียง “กรมธรรม์ประกันภัย” และเน้นย้ำว่า ยังไม่มีแผนจะส่งกองกำลังติดอาวุธเข้าไปยังที่เกิดเหตุ เนื่องจากเกรงว่า จะยิ่งทำให้วิกฤตความขัดแย้งอันมืดมน ที่คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 1,100 คน ในเวลา 3 เดือนของการสู้รบ ทวีความรุนแรงขึ้น
แม้ว่าจะมีประกาศพักรบเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ยอดผู้เสียชีวิตก็ยังขยับขึ้น โดยกองทัพยูเครนระบุว่า มีทหารถูกสังหารไปทั้งสิ้น 11 คน ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ขณะที่บรรดาเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในท้องถิ่น ระบุว่าเกิดการปะทะกันหลายระลอกในเมืองลูกันสค์ อันเป็นฐานที่มั่นของกบฏ จนส่งผลให้มีพลเรือนเสียชีวิตไป 3 ราย ซึ่ง 1 ใน 3 เป็นเด็กอายุ 5 ขวบ