เอพี/เอเจนซีส์ – เมื่อวานนี้ (30 มิถุนายน) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ประกาศเดินหน้าจัดการวิกฤตพรมแดนสหรัฐฯด้วยตนเอง หลังจากประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จอห์น โบห์นเนอร์ ได้แจ้งว่าทางสภาล่างจะไม่ออกเสียงในกฎหมายปฎิรูปการเข้าเมืองสหรัฐฯในปีนี้ ที่พรมแดนทางใต้ของสหรัฐฯกลายสภาพเป็นศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยจากอเมริกากลางที่มีจำนวนอย่างน้อย 60,000 คน และล่าสุดพบเด็กชายชาวกัวเตมาลาวัย 11 ปี เป็นศพทางใต้ของรัฐเทกซัสในระหว่างที่พยายามข้ามแดนด้วยตนเอง
เจ้าหน้าที่รักษาพรมแดนสหรัฐฯพบร่างเด็กชายกัวเตมาลาอายุ 11 ปี นอนเสียชีวิตที่ทางใต้ของรัฐเทกซัส โดยพบเบอร์โทรศัพท์ติดต่อของพี่ชายของเด็กที่เสียชีวิตเขียนซ่อนอยู่ภายในหัวเข็มขัด เป็นหมายเลขโทรศัพท์ในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ โดยพบว่าเด็กผู้ตายสวมกางเกงยีนส์แองกรีเบิร์ด เสื้อยืดสีดำ และเครื่องรางคริสเตียนสีขาวที่คอ เดินทางตามลำพังจากบ้านในกัวเตมาลา เพื่อเดินทางข้ามแดนมายังสหรัฐฯมาพบพี่ชาย แต่เกิดหลงทางในพงป่าเท็กซัสใกล้พรมแดนเม็กซิโกที่ห่างจากบ้านประชาชนที่ใกล้ที่สุดไปราว 1.6 กม
ร่างของ กิลเบอร์โต ฟรานซิสโก ราโมส ฮัวอาเรซ (Gilberto Francisco Ramos Juarez) วัย 11 ปี ถูกพบในสภาพกำลังเน่าเปื่อยที่ริโอ แกรนด์ แวลลีย์ (Rio Grande Valley) รัฐเทกซัส จุดประเด็นปัญหาคลื่นผู้ลี้ภัยให้ร้อนแรงมากขึ้น จากปัญหาเด็กจากอเมริกากลางที่อพยพเดินทางข้ามทะเลทรายมาสหรัฐฯตามลำพังในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯกำลังปวดหัวต้องหาทางรับมือแก้ปัญหานี้
เมื่อวานนี้ (30 มิถุนายน) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ประกาศว่า เขาจะไม่รอให้ทางพรรครีพับลิกันร่วมมือในการผลักดันการปฏิรูประบบการเข้าเมืองสหรัฐฯ แต่จะเดินหน้าทำเองด้วยตัวเองในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยไม่หวังพึ่งสภาคองเกรส ทั้งนี้ นโยบายแก้ปัญหาคนเข้าเมืองถือเป็นนโยบายหลักในสมัยที่สองของโอบามาที่ตั้งใจจะผลักดันให้สำเร็จก่อนครบสมัย โอบามาประกาศหลังจากทราบจากประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ จอห์น โบห์นเนอร์จากรัฐลิพับลิกันในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ว่า จะไม่โหวตกฎหมายปฎิรูปตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯในปีนี้
และเป็นเหตุให้โอบามาต้องออกแถลงการณ์ที่สวนโรสการ์เดน ทำเนียบขาว เมื่อวานนี้ (30 มิถุนายน) ด้วยน้ำเสียงกราดเกรี้ยว ประณามพรรครีพับลิกันที่คุมเสียงข้างมากในสภาล่างสหรัฐฯว่า ไม่ทำงานตามหน้าที่ของตนเอง แต่ใช้แท็กติกเพื่อเกมส์การเมืองที่ต้องการขวางนโยบายปฎิรูปกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯที่สมควรต้องถูกพิจารณาในวันจันทร์ (30)
“สหรัฐฯและเศรษฐกิจสหรัฐฯจะรุดหน้ากว่ามากในวันนี้หากพรรคริพับลิกันในสภาล่างจะทำงานง่ายๆในการลงมติออกเสียง “เห็นชอบ-ปฏิเสธ” กฎหมายฉบับนี้ หรือฉบับไหนๆ ก็ตาม เพื่อสนับสนุนเจตนารมณ์ของชาวอเมริกันจำนวนมากที่ต้องการปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ และเป็นอีกครั้ง และอีกครั้งที่พรรครีพับลิกันพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ต้องการขัดขวางกลุ่มทีปาร์ตีเพื่อทำในสิ่งที่ดีที่สุดต่อสหรัฐฯ” โอบามาแถลง และเสริมว่า “ถึงแม้ว่าสภาคองเกรสจะไม่ทำงาน แต่ทำเนียบขาวจะเดินหน้าทำต่อเอง ผมจะทำด้วยอำนาจที่มีเพื่อที่จะปรับปรุงระบบการเข้าเมืองสหรัฐฯ”
โอบามาประกาศจะเดินหน้าแก้ไขระบบตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐฯ ที่ทางทำเนียบขาวต้องหาหนทางให้โอบามาสามารถเดินหน้าแก้ไขระบบได้ด้วยอำนาจประธานาธิบดีสั่งการ โดยไม่พึ่งอำนาจที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ในวันอาทิตย์ (29 มิถุนายน) ทำเนียบขาวประกาศจะยื่นมาตรการเร่งด่วนขอให้สภาคองเกรสเพิ่มอำนาจให้กับรัฐบาลสหรัฐฯสามารถส่งผู้อพยพที่ไม่มีพรมแดนติดสหรัฐฯกลับได้ทันที และขอเงินอุดหนุนเพิ่มเติมร่วม 2 พันล้านดอลลาร์เพื่อเพิ่มเจ้าหน้าที่ประจำพรมแดนใต้ และรวมไปถึงค่าใช้จ่ายดูแลผู้อพยพอย่างน้อยร่วม 60,000 คน ส่วนมากเป็นเด็กที่เดินทางเข้าสหรัฐฯผิดกฏหมายตั้งแต่ตุลาคม 2013
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เปิดเผยว่า พบศพเด็กชายวัย 11 ปีเสียชีวิตในวันที่ 15 มิถุนายน ที่ริโอ แกรนด์ แวลลีย์ รัฐเทกซัส ซึ่งเป็นทางผ่านเข้าสู่สหรัฐฯจากพรมแดนเม็กซิโกที่นิยมมากสำหรับผู้อพยพมาจากอเมริกากลางในช่วงนี้ และทางเจ้าหน้าที่สามารถติดต่อกับพี่ชายของกิลเบอร์โต ฟรานซิสโก ราโมส ฮัวอาเรซได้ในชิคาโก และได้ให้ข้อสังเกตว่า ส่วนมากผู้อพยพจะไม่นิยมเขียนเบอร์โทรศัพท์ญาติไว้บนเศษกระดาษซึ่งอาจสูญหายได้ง่ายในช่วงระหว่างการเดินทาง
และเอพีรายงานว่า พี่ชายของเด็กวัย 11 ปี ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อบิดาของเขาที่กัวเตมาลากับเจ้าหน้าที่สหรัฐ ที่ได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตกัวเตมาลาในสหรัฐฯในการสืบหา โดยบิดาของเด็กชายผู้เสียชีวิตได้ยืนยันรูปพรรณของบุตรชายวัย 11 ปีจากหลักฐานเสื้อผ้า และเครื่องรางกับทางสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามสาเหตุการเสียชีวิตยังไม่ได้รับการเปิดเผย แต่แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯสันนิษฐานว่า น่าจะเกิดจากความร้อนสะสม และขาดน้ำอย่างรุนแรง มีการเปิดเผยว่า เด็กชายเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ และครอบครัวของกิลเบอร์โต ฟรานซิกโก ราโมส ฮัวอาเรซ ที่อาศัยอยู่ในฮูฮุเตนังโก (Huehuetenango) กัวเตมาลา เปิดเผยว่า ไม่ได้รับการติดต่อจากเด็กชายราว 25 วันก่อนที่ร่างของเด็กจะถูกพบ โดยในขณะนั้นกิลเบอร์โต ฟรานซิสโก ราโมส ฮัวอาเรซ อยู่ที่เรย์โนซา (Reynosa) เม็กซิโก รอที่จะข้ามพรมแดนเข้าสู่สหรัฐฯ
อนึ่ง สำนักงานรักษาพรมแดนสหรัฐฯ รายงานว่า ในปีที่ผ่านมามีจำนวนผู้เสียชีวิตจากความพยายามข้ามแดนระหว่างเม็กซิโก - สหรัฐฯ ราว 445 คน และหน่วยงานนิติวิทยาศาสตร์ของพิมา เคาน์ตี (Pima County) รัฐแอริโซนาที่มีชายแดนติดเม็กซิโก รายงานว่า มีผู้อพยพเสียชีวิตจำนวน 168 ราย และจากทั้งหมดมี 70 รายที่ได้รับการยืนยันอายุ และพบว่าไม่มีใครอายุต่ำกว่า 13 ปี