เอพี – เจ้าหน้าที่ประจำรัฐแอริโซนาร้องขอให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯหยุดส่งผู้อพยพเด็กชาวอเมริกากลางที่อพยพด้วยเท้าตามลำพังหนืภัยความรุนแรงและอดหยาก ข้ามทะเลทรายและเขตแดน มาถึงพรมแดนสหรัฐฯตามลำพังถึง 50,000 คน และถูกส่งตัวจากรัฐเท็กซัสเพื่อมายังค่ายผู้อพยพที่รัฐแอริโซนาหลังจากอุปกรณ์สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเริ่มขาดแคลน และต้องการให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯส่งความช่วยเหลือทางการแพทย์มาเพิ่มเติม
สำนักงานมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯได้เริ่มส่งกลุ่มผู้อพยทางอากาศจากริโอ แกรนด์ แวลลีย์ รัฐเท็กซัส( Rio Grande Valley) มายังรัฐแอริโซนาในเดือนที่ผ่านมา หลังจากมีจำนวนมากขึ้นของคลื่นผู้อพยพ รวมถึงเด็กผู้อพยพที่ส่วนมากมาจากอเมริกากลางที่เดินทางข้ามแดนมาด้วยตนเองล้นที่ศูนย์ผู้อพยพที่นั่น
โดยผู้อพยพที่ได้เดินทางอากาศมาถึงรัฐแอริโซนาถูกสั่งให้ต้องรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่มีสำนักงานใกล้กับศูนย์อพยพภายใน 15วันนับตั้งแต่วันที่เดินทางมาถึง
เจ้าหน้าที่มาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯได้เปิดเผยกับเอพีว่า เด็กจำนวน 700 คนต้องนอนบนเปลสนามพลาสติกในวันศุกร์(6)ที่โกดังในโนกาเลส( Nogales)รัฐแอริโซนา แต่คาดว่าจำนวนผู้อพยพเด็กมีเป็น 2 เท่า หรือ 1,400 คน ทั้งนี้โกดังแห่งนี้สามารถรองรับคนได้ 1,500 คน และแหล่งข่าวกล่าวต่อว่า สาเหตุที่ต้องเปิดศูนย์ลี้ภัยฉุกเฉินสำหรับเด็กที่โนกาเลส เพราะกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมสหรัฐฯไม่สามารถหาหนทางอื่นได้ “พวกเขาหาหนทางอื่นไม่ได้จากตัวเลขของผู้อพยพที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัวโดยยังไม่ได้วางแผนตั้งรับ” แหล่งข่าวกล่าวต่อ
ทั้งนี้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรสหรัฐฯ (ICE) เปิดเผยว่า ผู้อพยพส่วนมากเป็นครอบครัวที่เดินทางมาจากอเมริกากลาง หนีความยากแค้น และความรุนแรง และสำนักงานมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯได้เปิดเผยว่า ได้สั่งที่นอนไปแล้ว 2,000 อัน รวมไปถึงห้องสุขาเคลื่อนที่ และห้องน้ำแบบฝักบัวได้ถูกสั่งเข้ามา โดยศูนย์ผู้อพยพแห่งนี้เปิดให้บริการรับผู้อพยพตรงมาจากทางใต้รัฐเท็กซัสตั้งแต่วันเสาร์ก่อนหน้านี้(31 พฤษภาคม) และการเดินทางของกลุ่มผู้อพยพจากรัฐเท็กซัสมีกำหนดเดินทางจนถึงกลางเดือนมิถุนายน
โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางต้องการใช้ศูนย์โนกาเลสเพื่อเป็นฮับทางสุขภาพ ที่ให้ภูมิคุ้มกันเด็ก ตรวจโรค และผู้อพยพจะถูกส่งต่อไปยังศูนย์ผู้อพยพอื่นๆในเวนทูรา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซานอันโทนิโอ รัฐเท็กซัส และฟอร์ต ซิล รัฐโอกลาโฮมา แต่แหล่งข่าวมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯกล่าวว่า “ทันทีที่เราย้ายพวกเขาออกไปอย่างรวดเร็ว เรากลับต้องพบว่าผู้อพยพหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คิดว่า นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ผู้อพยพเด็กที่อาศัยในศูนย์อพยพโนกาเลสจะมีอายุ 17 ปี หรือน้อยกว่านั้น โดยมีการประมาณว่า 3 ในทุก 4 คน มีอายุอย่างน้อย 16 ปี และเจ้าหน้าที่ประจำพรมแดนรัฐแอริโซนาคาดการณ์ว่า “ต้องเตรียมรับมือคลื่นผู้อพยพมาจากรัฐเท็กซัสอย่างต่อเนื่อง” วิกเตอร์ แอล. แบรบเบิล ( Victor L. Brabble) ตัวแทนหน่วยงานพรมแดนและศุลกากรรัฐแอริโซนากล่าว
และพบว่า ผู้ว่าการรัฐแอริโซนา แจน บริวเวอร์ ( Jan Brewer) เมื่อไม่นานมานี้ได้ส่งจดหมายบริพาษประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ร้องให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯยกเลิกโครงการเคลื่อนย้ายครอบครัวผู้อพยพด้วยรถบัสจากชายแดนทางใต้มายังศูนย์ฟีนิกซ์อย่างทันที โดยกล่าวว่าถือเป็นการตัดสินใจที่เป็นอันตรายและขาดการใตร่ตรอง และเธอเปิดเผยว่า ยังไม่ได้จดหมายตอบกลับจากเจห์ จอห์นสัน(Jeh Johnson)ผู้อำนวยงานสำนักงานมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯก่อนวันศุกร์(6) “และในขณะเดียวกันดิฉันขอให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯปิดพรมแดนทางด้านใต้ และยกเลิกโครงการพวกนี้ทั้งหมด” บริวเวอร์กล่าวในแถลงการณ์
แอริโซนาเดลีสตาร์ สื่อท้องถิ่นรัฐแอริโซนา รายงานในวันเสาร์(7)ว่า จีเมนา ดิแอซ ( Jimena Díaz)กงสุลใหญ่ของกัวเตมาลาในฟินิกซ์ได้เดินทางไปเยี่ยมศูนย์ผู้ลี้ภัยในวันศุกร์(6) และเปิดเผยว่ามีเด็กจำนวน 250 คนมาจากกัวเตมาลา และอีกที่เหลือทั้งหมดมาจากเอลซัลวาดอร์ และฮอนดูรัส
และดิแอซได้เปิดเผยกับแอริโซนาเดลีสตาร์ต่อว่า เด็กถูกรวมกลุ่มให้อยู่เฉพาะเด็ก โดยแบ่งแยกตามอายุและเพศ โดยส่วนมากมีอายุราว 15-17ปี อและมีอีกจำนวนเล็กน้อยที่มีอายุต่ำกว่านี้ แม่วัยรุ่นพร้อมบุตรต้องถูกแยกด้วย
โดยเจ้าหน้าที่พรมแดนสหรัฐฯสามาถส่งผู้อพยพชาวเม็กซิกันกลับประเทศที่พรมแดนได้ทันที แต่การรับมือคลื่นผู้อพยพจากอเมริกากลางถือเป็นเรื่องลำบากที่ไม่กี่เดือนมานี้มีคลื่นผู้อพยพทะลักเข้ามาทางพรมแดนรัฐเท็กซัส โดยแหล่งข่าวมาตุภูมิและความมั่นคงสหรัฐฯเปิดเผยว่า ตามกฏหมายมีแต่บิดาและมารดาเด็กและผู้ปกครองเท่านั้นที่มีสิทธิรับตัวผู้อพยพเด็กชาวอเมริกากลางเหล่านี้หากเด็กพวกนี้ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ในเม็กซิโกและประเทศในอเมริกากลางสังเกตถึงจำนวนที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มผู้หญิงและเด็กข้ามพรมแดน
ฟาเธอร์เฮย์แมน วาซคูซ (Father Heyman Vazquez) ผู้อำนวยการศูนย์พักฟื้นของผู้อพยพใน Huixtla ในรัฐเซียปัส ทางใต้ของเม็กซิโก กล่าวว่า เขาและคนอื่นต่างเตือนเด็กๆว่า เสี่ยงเกินไปแต่กระนั้นฟาเธอร์วาซคูซเห็นเด็กเหล่านี้จำนวนเพิ่มขึ้นมุ่งหน้าไปทางเหนือ “ผมจำเด็กอาบุ 9 ปีได้ และถามว่า ต้องการเดินทางไปที่สหรัฐฯเพื่อไปพบญาติหรือ แต่หนูน้อยตอบกลับมาว่า “ไม่” เพราะผมต้องการส่งตัวผมไปให้กับคนพวกนั้นเพราะได้ยินว่าพวกเขาช่วยเหลือเด็ก” ฟาเธอร์วาซคูซกล่าว