เอเอฟพี - สตรีชาวเกาหลีที่ถูกบังคับให้เข้าสู่ “ระบบทาสทางเพศ” สำหรับกองทัพญี่ปุ่นเมื่อช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้รับคำเชิญเข้าร่วมพิธีมิสซา ที่พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงเป็นผู้ประกอบพิธีให้ด้วยพระองค์เองในกรุงโซล โฆษกหญิงกล่าววันนี้ (1 ก.ค.)
การเชิญชวนครั้งนี้มีขึ้นในช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อยู่ในช่วงขาลง หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นอ้างเมื่อไม่นานนี้ว่าไม่มีหลักฐานใดๆ สนับสนุนคำให้การของผู้ที่ถูกเรียกว่า “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ที่อ้างว่าตนถูกบีบบังคับให้ทำงานในซ่องของกองทัพญี่ปุ่น
“เราเชิญชวนเหยื่อเหล่านี้มาร่วมพิธีมิสซาเพื่อสันติภาพและความปรองดอง” โฆษกหญิงประจำคณะกรรมการผู้จัดงานซึ่งไม่ขอเปิดเผยนาม บอกต่อเอเอฟพี
พระสันตะปาปาฟรานซิสจะทรงประกอบพิธีมิสซาในวันที่ 18 สิงหาคม ที่โบสถ์เมียงดงในกรุงโซล
โฆษกผู้นี้กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าสตรีเหล่านั้นซึ่งล้วนมีอายุมากแล้ว จะมาร่วมพิธีกันกี่คน
การเชื้อเชิญดังกล่าวมีขึ้นไม่นานหลังจากกำหนดการเยือนเกาหลีใต้ของพระสันตะปาปาในวันที่ 14-18 สิงหาคม ถูกประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคม
“เราจะแจ้งให้พระสันตะปาปาทรงทราบถึงการเข้าร่วมพิธีมิสซาของพวกเธอ” เธอกล่าว
เป็นที่คาดการณ์กันว่า สันตะปาปาฟรานซิสน่าจะมีพระดำรัสถึง “สตรีเพื่อการผ่อนคลาย” ระหว่างพิธีมิสซาด้วย แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าพระองค์จะทรงมีโอกาสสนทนาปราศรัยกับพวกเธอบ้างหรือไม่ โฆษกกล่าวเสริม
รัฐบาลเกาหลีใต้ได้แสดง “ความผิดหวังอย่างถึงที่สุด” และเรียกเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นเข้าพบเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อประท้วงการที่เมื่อเร็วๆ นี้โตเกียวได้ทบทวนคำขอโทษในปี 1993 ที่มีต่อสตรีผู้ตกเป็น “ทาสบำเรอกาม” ในช่วงสงครามโลก
แม้ผลการทบทวนดังกล่าวจะยังคงคำขอโทษเอาไว้ แต่กลับมีการกระตุกต่อมโมโหของโซลด้วยการอ้างว่า ไม่มีหลักฐานใดๆ ที่สนับสนุนคำกล่าวอ้างของสตรีเพื่อการผ่อนคลายชาวเกาหลีที่ว่าพวกเธอถูก “บังคับ” ให้ทำหน้าที่ทาสบำเรอกาม
รัฐบาลโซลปฏิเสธผลการทบทวนของรัฐบาลญี่ปุ่นที่อ้างว่า บางส่วนของคำขอโทษในปี 1993 ของญี่ปุ่นถูกร่างขึ้นมาโดยเกาหลีใต้
ทั้งนี้ ผู้หญิงราว 200,000 คนจากเกาหลี, จีน, ไต้หวัน, อินโดนีเซีย และอีกนานาประเทศ ได้ถูกบีบบังคับให้เข้าสู่ระบบทาสทางเพศเพื่อความผ่อนคลายแก่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น ซึ่งเคลื่อนพลรุกรานไปทั่วทั้งเอเชียในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
ขณะที่ความคิดเห็นกระแสหลักในญี่ปุ่นยังถือว่ารัฐบาลในสมัยสงครามสมควรถูกประณามแล้ว แต่ก็มีนักการเมืองส่วนน้อยที่เป็นกระบอกเสียงของพวกฝ่ายขวา รวมถึงนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ที่แสดงความข้องใจต่อข้อกล่าวหานี้ โดยอ้างว่าโสเภณีอาชีพเป็นผู้จัดหาหญิงสาวเข้ามาทำงานในซ่องเหล่านั้น
การพูดอ้อมค้อมเช่นนี้เองที่สร้างภาวะตึงเครียดต่อความสัมพันธ์ของญี่ปุ่นกับเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออก และโดยเฉพาะกับเกาหลีใต้