เอเอฟพี - บราซิลผ่านร่างกฎหมายวานนี้ (9 มิ.ย.) ว่าด้วยการจัดโควตางานในภาครัฐ 20 เปอร์เซ็นต์สำหรับชาวบราซิลผิวสีและเลือดผสม สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินนโยบายของประเทศที่จำนวนประชากรมากกว่าครึ่งมีเชื้อสายแอฟริกัน
“เราได้เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบด้านเชื้อชาติของเจ้าหน้าที่รัฐในการบริหารส่วนกลางเสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะประชากรของบราซิลมากยิ่งขึ้น” ดิลมา รุสเซฟฟ์ ประธานาธิบดีแดนแซมบ้า กล่าวในการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้
“สิ่งนี้เป็นเพียงแค่ก้าวแรก เราหวังว่ากฎหมายฉบับนี้จะแบบอย่าง สำหรับการปรับใช้มาตรการเช่นเดียวกันนี้ในหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และองค์กรต่างๆ” รุสเซฟฟ์ กล่าว
โควตานี้หมดอายุภายใน 10 ปีและมีผลบังคับกับบรรดาองค์กรและหน่วยงานส่วนกลาง ตลอดจนบริษัทรัฐวิสาหกิจ เช่น เปโตรบราซ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงาน และธนาคารต่างๆ อย่างเช่น ไคซา อีโคโนมิกา เฟเดรอล และ แบนโก เด บราซิล
อย่างไรก็ตาม โควตานี้ใช้ไม่ได้กับหน่วยงานฝ่ายตุลาการและนิติบัญญัติ ซึ่งจะต้องมีการออกกฎหมายรับรองออกไปต่างหาก
เพื่อให้เป็นไปตามเงื่อนไขและคุณสมบัติของโควตานี้ ผู้สมัครจะต้องระบุเชื้อชาติของตนว่าเป็นคนผิวสีหรือเลือดผสม ขณะสมัครสอบรับราชการ
เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2012 รุสเซฟฟ์ได้ลงนามรับรองกฎหมายที่เป็นข้อถกเถียงนี้ ซึ่งมีผลตามกฎหมายสงวนที่นั่งเรียนในมหาวิทยาลัยครึ่งหนึ่งไว้สำหรับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนรัฐ โดยจะพิจารณาเลือกผู้สมัครที่เป็นคนผิวสี คนเลือดผสม และคนพื้นเมืองเป็นอันดับแรก ซึ่งนโยบายนี้เป็นที่ถกเถียงกันมานานถึง 13 ปี
บราซิลเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศกลุ่มสุดท้ายในโลกที่ยกเลิกระบบทาสในปี 1888
กลุ่มนักเคลื่อนไหวชาวบราซิลเชื้อสายแอฟริกัน กล่าวว่า นี่คืออีกหนึ่งความก้าวหน้าในรอบ 500 ปีสู่ความเสมอภาค แต่ก็ชี้ว่าหนทางที่เหลือยังอีกไกลนัก
“น่าเสียดายที่ร้อยละ 91 ของประชากรคนผิวสียังคงไม่สามารถเรียนไปถึงระดับมหาวิทยาลัย” เดวิด ไรมุนโด ซานโตส นักบวชฟรังซิสกันแกนนำกลุ่มสิทธิ ”เอ็ดดูคาโฟร” (Educafro) บอกต่อเอเอฟพีเมื่อช่วงต้นปี
“นอกจากนี้ ชาวบราซิลเชื้อสายแอฟริกันเพียงร้อยละ 5.3 เท่านั้นที่ได้นั่งตำแหน่งระดับสูงในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของบราซิล 500 บริษัท ….เป็นเรื่องที่น่าอดสูเสียจริง” เขากล่าว
