xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus:“อัสซาด” คว้าชัยศึกเลือกตั้งผู้นำซีเรียตามคาด อเมริกาเสียหน้ารีบออกโรงประณาม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เป็นไปตามความคาดหมายเมื่อประธานาธิบดี “บาชาร์ อัล-อัสซาด” แห่งซีเรีย เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งผู้นำครั้งใหม่ของประเทศด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น โดยได้คะแนนเสียงอย่างไม่เป็นทางการไม่ต่ำกว่า 88.7 เปอร์เซ็นต์ จากคะแนนโหวตทั้งหมด

ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีซีเรียที่มีการเผยแพร่เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า บาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำหนุ่มใหญ่วัย 48 ปี ที่ก้าวขึ้นครองอำนาจต่อจาก “ฮาเฟซ” บิดาของเขาตั้งแต่เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2000 เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียงเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คู่แข่งอีก 2 คนอย่างฮัสซัน อัล-นูริ และมาเฮอร์ อัล-ฮัจจาร์ได้คะแนนเสียงเพียง 4.3 เปอร์เซ็นต์และ 3.2 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ

ข้อมูลจากหน่วยงานด้านการเลือกตั้งของซีเรียระบุว่า การเลือกตั้งตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยในซีเรียครั้งนี้ แม้จะจัดขึ้นอย่างทุลักทุเลและต้องเผชิญอุปสรรคนานัปการ โดยเฉพาะปัญหาความไม่ปลอดภัยจากการสู้รบภายในประเทศ แต่ทว่าจำนวนพลเมืองซีเรียที่ออกจากบ้านมาใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ยังคงสูงถึง “73.42 เปอร์เซ็นต์” ตามตัวเลขอย่างไม่เป็นทางการ

รายงานข่าวซึ่งอ้างสื่อหลายสำนักในภูมิภาคตะวันออกกลาง รวมถึงสื่อของรัฐบาลซีเรียระบุว่า ประชาชนชาวซีเรียจำนวน 11.6 ล้านคนได้ออกมาใช้สิทธิ์ของตนในการเลือกตั้งครั้งนี้ จากจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 15.8 ล้านคนทั่วประเทศ


ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีซีเรียคราวนี้ ส่งผลให้ประธานาธิบดีอัสซาดแห่งพรรคบาธ (Ba'ath party)จะได้ครองอำนาจต่อไปอีกหนึ่งวาระเป็นเวลา 7 ปี จนถึงการเลือกตั้งผู้นำซีเรียสมัยหน้าที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปี “ค.ศ.2021”

อย่างไรก็ดี การเลือกตั้งที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิถุนายนนี้ ถูกโจมตีอย่างรุนแรงจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของบารัค โอบามาว่า เป็นการเลือกตั้งที่ขาด “ความชอบธรรม” และ “ไม่เป็นประชาธิปไตย” เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งที่จัดขึ้นในพื้นที่เพียง 40 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ กล่าวคือ เป็นการจัดเลือกตั้งเฉพาะพื้นที่ที่ไม่ตกอยู่ภายใต้ภาวะสงครามกลางเมือง และเป็นพื้นที่ซึ่งอยู่ใต้การควบคุมของฝ่ายอัสซาดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

มารี ฮาร์ฟ โฆษกหญิงของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาแถลงว่า รัฐบาลซีเรียจงใจจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ขึ้นทั้งๆที่ตระหนักดีอยู่แล้วว่า มีประชาชนชาวซีเรียที่มีสถานะเป็น “ผู้ลี้ภัย” อีกเป็นจำนวนหลายล้านชีวิต จะไม่สามารถลงคะแนนได้

ขณะที่จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศเมืองลุงแซม ซึ่งอยู่ระหว่างการเดินทางเยือนกรุงเบรุตของเลบานอน เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีซีเรียครั้งนี้ว่า เป็น “ความสูญเปล่าครั้งยิ่งใหญ่” พร้อมทั้งเรียกร้องให้ระบอบการปกครองของอัสซาด พร้อมด้วยบรรดา “ผู้สนับสนุนที่แน่นแฟ้น” อย่างรัสเซีย อิหร่าน ตลอดจน กลุ่มติดอาวุธ “ฮิซบอลเลาะห์” แห่งเลบานอน ยอมวางอาวุธ เพื่อยุติสงครามกลางเมืองในซีเรียที่ดำเนินมานานจนเข้าสู่ขวบปีที่ 4

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งโฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ รวมถึงตัวรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงอย่างนายจอห์น เคร์รีตลอดจน ทางทำเนียบขาว กลับเลือกที่จะ “ปิดปากเงียบ” ไม่ยอมเอ่ยถึงความช่วยเหลือมหาศาล ที่คิดเป็นมูลค่านับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่รัฐบาลโอบามาทุ่มเทช่วยเหลือ “ฝ่ายกบฏ” ในซีเรียทั้งทางการเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์

หลังจากทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในซีเรียว่า บาชาร์ อัล-อัสซาด เป็นฝ่ายที่สามารถคว้าชัยได้อย่างถล่มทลายประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯในวัย 52 ปี ซึ่งได้รับเลือกให้คว้า รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (Nobel Peace Prize) อย่างน่ากังขาเมื่อปี 2009 ออกมา “โยนบาป” ว่า ระบอบการปกครองของบาชาร์ อัล-อัสซาด คือ ผู้อยู่เบื้องหลังการนองเลือดและความสูญเสียในสงครามกลางเมืองที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตในซีเรียไปแล้วมากกว่า 162,000 คน

ถึงแม้การเลือกตั้งประธานาธิบดีล่าสุดในซีเรียที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์กว่า 11.6 ล้านคน และนำมาซึ่งชัยชนะขาดลอยของอัสซาดนั้น จะถูกโจมตีจากรัฐบาลอเมริกันอย่างสาดเสียเทเสีย และคงยังไม่สามารถยุติความขัดแย้งในประเทศได้ในเร็ววัน แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ได้ชื่อว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดแล้วของซีเรีย เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งหลายครั้งก่อนหน้านี้ เห็นได้จากการที่มากกว่า “30 ประเทศทั่วโลก”ประกาศให้การรับรองต่อการจัดเลือกตั้งหนนี้ว่าเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีความชอบธรรม


ดังนั้น จึงเริ่มเกิดคำถามว่า ท่าทีของรัฐบาลอเมริกันที่นำโดยชายที่ชื่อบารัค โอบามา นั้น แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียงความพยายามในการ “กลบเกลือนความล้มเหลวของตัวเอง”ที่ยังคงไม่สามารถโค่นล้มระบอบการปกครองของอัสซาดที่มีรัสเซียและอิหร่านหนุนหลังได้ ทั้งๆที่ รัฐบาลวอชิงตันทุ่มเททั้งเงินและอาวุธหนุนฝ่ายกบฏในซีเรียอย่างสุดตัว

ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลอเมริกันยังไม่ต่างจากการ “ประจานตัวเอง” ว่า ในความเป็นจริงแล้ว บารัค โอบามาก็เป็นบุรุษที่ “มือเปื้อนเลือด” ไม่ต่างจากบาชาร์ อัล-อัสซาด เพราะต้องไม่ลืมว่า อาวุธ “เมด อิน ยูเอสเอ” ที่มิสเตอร์โอบามา จัดหามาให้พวกกบฏซีเรียนั้น ได้ถูกนำไปใช้ในการเข่นฆ่าประชาชนชาวซีเรียด้วยเช่นกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น