เอเจนซีส์ - เจมส์ แทปเปอร์ จากโกลบอลโพสต์ รายงานว่า ในสหรัฐฯ หรือชาติตะวันตก นักการเมืองมักจะใช้หลังบ้านเป็นเสมือนอาวุธทางการเมืองเพื่อแสดงถึงภาพลักษณ์ส่วนตัวที่ดีต่อสาธารณะ และโกยคะแนนเสียง เช่น ฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของผู้นำสหรัฐฯ แต่ไม่ใช่ในดินแดนภารตะแห่งนี้ ที่ในขณะนี้มีการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นทั่วประเทศและกินเวลายาวนาน
สำหรับโลกการเมืองของอินเดีย ภรรยาจะถือเป็นเสมือนเป็น “หนี้สิน” เป็นภาระที่นักการเมืองต้องแยกออกจากประเทศชาติ การที่จะต้องรับผิดชอบต่อครอบครัวตามค่านิยมตะวันตกนั้นเสมือนเป็นเป้าหมายไปสู่การคอรัปชันในอินเดีย เพราะดินแดนแห่งนี้มีค่านิยมที่ผู้นำประเทศต้องมีสถานะเป็นโสดหรือมิเช่นนั้นต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับครอบครัว เฉกเช่น มหาตมะ คานธี ที่ถึงแม้จะแต่งงานและมีบุตร 4 คน แต่เขาตั้งสัจจะถือพรหมจรรย์เมื่อมีอายุได้ 38 ปี และน้อยครั้งที่จะปรากฏตัวในที่สาธารณะพร้อมกับครอบครัว
และเช่นเดียวกับผู้สมัครตัวเก็งว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของอินเดีย นเรนทรา โมดิ (Narendra Modi) วัย 63 ปีจากพรรคฝ่ายค้าน ภาราติยะ ชนตะ หรือ BJP พรรคชาตินิยมฮินดู ประกาศตัวมีสถานะโสดนานนับสิบปี และในการกล่าวปราศรัยหาเสียงครั้งหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาในรัฐหิมาจัลประเทศ โมดิประกาศว่า “ผมไม่มีครอบครัวผูกมัด ที่ผมจะต้องหาประโยชน์โดยผ่านการคอร์รัปชัน”
แต่ทว่าหลังจากการเลือกตั้งแบบมาราธอนเริ่มขึ้นในวันที่ 7 เมษายน ที่ผ่านมา โมดิต้องออกมายอมรับกับชาวอินเดียทั้งประเทศในวันที่ 10 เมษายน ว่าเขามีภรรยาแล้วบนหน้าสื่อในอินเดีย ซึ่งทั้งโมดิและภรรยาได้สมรสกันตั้งแต่คนทั้งคู่ยังเป็นเด็ก แต่ในวัย 18 ปี โมดิปฏิเสธที่จะมีเพศสัมพันธ์เป็นครั้งแรกกับภรรยา และเขาได้เลือกที่จะเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองให้กับกลุ่ม Rashtriya Swayamsevak Sangh (RSS) ที่เป็นองค์กรทางการเมืองฮินดูปีกขวาในมุ้งของพรรค BJP ซึ่งสมาชิกของกลุ่มนี้ต้องถือพรหมจรรย์
แต่ทว่า “ถือพรหมจรรย์” ดูเหมือนจะล่อแหลมสำหรับโมดิ เพราะเขาต้องอับอายหลายครั้งจากการถูกเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเขา และ Anandiben Patel ที่สื่อให้ฉายาเธอว่า “สาวแกร่ง” ในขณะที่โมดิดำรงตำแหน่งมุขมนตรีรัฐคุชราต นั้น Patel เป็นหนึ่งในในคณะรัฐบาลท้องถิ่นของเขา และเธอยังถูกคาดหมายว่าจะเป็นมุขมนตรีคนต่อไปหากโมดิก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดีย
ทั้งนี้ Mofatbhai Patel สามีของ Anandiben Patel ได้ทิ้งพรรค BJP ทั้งๆที่เคยทำงานในฐานะผู้รณรงค์ทางการเมืองให้พรรคนี้นร่วม 35 ปี จากสาเหตุเพราะต้องการประท้วงถึงสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างภรรยาของเขาและโมดิ ซึ่งสามีของ Patel ได้กล่าวหาว่า คนทั้งคู่มีความสัมพันธ์ชู้สาว “เมื่อภรรยาของผมเข้าสูการเมือง เธอยังทำหน้าที่เหมือนเดิมไม่ผิดแปลก แต่ภายหลังเธอเริ่มเปลี่ยนไป และนเรนทรา โมดิ ต้องรับผิดชอบ” Mofatbhai Patel กล่าวในปี 2007
ซึ่งถึงแม้คู่แข่งทางการเมืองพยายามขุดคุ้ยประวัติของโมดิ และโจมตีเพื่อหาประโยชน์ทางการเมือง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลกระทบอันใดต่อความนิยมอย่างล้นหลามของชายผู้นี้
แต่ทำไมชาวอินเดียจึงไม่ให้ความสนใจ และทำไมโมดิจึงต้องปิดบังถึงสถานะการแต่งงานของเขาแต่แรก
เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ โกลบอลโพสต์ได้สอบถามไปยังผู้เชี่ยวชาญ ดร.เดฟดุตต์ ปาตตานายุค (Dr. Devdutt Pattanaik) หัวหน้าด้านจิตวิญญาณของกลุ่มฟิวเจอร์ กรุ๊ป บริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของอินเดีย และเป็นที่ปรึษาด้านวัฒนธรรมให้กับกลุ่มรีไลแอนซ์ อินดัสทรีส์ บริษัทอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ในอินเดีย และยังเป็นผู้เขียนหนังสือ Business Sutra เพื่อต้องการทราบว่า เหตุใดอินเดียจึงนิยมให้ผู้นำประเทศ “ถือพรหมจรรย์” ทั้งๆ ที่โมดิได้ยอมรับในช่วงการเลือกตั้งว่า “ปิดบังการแต่งงาน” แต่เหตุใดจึงไม่มีผลกระทบต่อโมดิ
ปาตตานายุคตอบกลับมาว่า หากเกิดขึ้นในโลกตะวันตก โมดิคงต้องถอนตัวออกจากการเลือกตั้งไป แต่ที่อินเดีย ไม่มีใครเชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ เพราะระบบความเชื่อและความคิดของอินเดียนั้นยืดหยุ่นได้ง่ายกว่าของชาติตะวันตก เช่น หากมีผู้ถูกจับกุมเข้าห้องขัง และศาลตัดสินว่าผิด ในอินเดียจะไม่เชื่อเช่นนั้น และจะต้องคิดว่าระบบต่อต้านชายผู้นี้ ชาวอินเดียเชื่อในตัวชายผู้ถูกตัดสินมากกว่า ดังนั้นชายผู้นั้นไม่ใช่คนผิดในสายตาคนอินเดีย ซึ่งถึงแม้โมดิจะยอมรับในการแต่งงาน แต่ผู้คนยังมีศรัทธาต่อเขาและไม่ถือว่าการที่โมดิต้องสารภาพนั้นเป็นเรื่องใหญ่อันใด เพราะพวกเขาก็ทราบอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นคนที่ยังรักโมดิก็จะรักอยู่เช่นนั้น ในขณะที่ผู้ที่ไม่เชื่อเขาก็จะไม่เชื่อต่อไป
และปาตตานายุคยังกล่าวต่อไปว่า และสาเหตุที่นักการเมืองอินเดียต้องทำตัวเหินห่างจากครอบครัวนั้น เช่น ราหุล คานธี เป็นโสด และไม่เปิดเผยถึงชีวิตส่วนตัว และมักนุ่งห่มสีขาว ซึ่งในอินเดีย สีขาวสื่อถึงความเรียบง่ายและบริสุทธิ์ และโมดิก็เช่นกัน เป็นผู้ไม่ใฝ่ถึงความรื่นเริง ซึ่งเขามีความแข็งแกร่งที่มาจากพื้นฐานการไม่มีภาระครอบครัว และการมีบุตรมาผูกมัด และเมื่อพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่า นักการเมืองน้ำดีของอินเดียที่นับตั้งแต่มหาตมะ คานธี เป็นต้นมา ต่างล้วนแล้วแต่เหินห่างจากครอบครัวทั้งสิ้้น หรือไม่ก็ปรากฏตัวพร้อมกับครอบครัวในที่สาธารณะน้อยครั้งมาก ในขณะที่อดีตประธานาธิบดีอินเดียคนที่ 12 ประติภา ปาฏีล ที่มักปรากฏกายพร้อมกับครอบครัวในที่สาธารณะถือเป็นนักการเมืองน้ำเน่าที่มีข่าวฉาวด้านคอร์รัปชันติดตัวมากมาย เป็นเพราะสมาชิกครอบครัวของนักการเมืองมักหาผลประโยชน์จากตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่าคู่สมรสและบุตรเป็นปัญหาสำหรับนักการเมืองในประเทศนี้
และเมื่อโกลบอลโพสต์ถามว่า ต้นแนวคิดการปฏิเสธการมีครอบครัวสำหรับผู้ต้องเป็นนักการเมืองมาจากไหน ปาตตานายุคอธิบายต่อว่า คาดเดาว่าน่าจะมาจากศตวรรษที่ 19 ในยุคศาสนาคริสต์นิกายเยซูอิตที่มีแนวคิด “นักบวชรับใช้อาณาจักร” เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง และสถาบันการศึกษาที่สำคัญส่วนใหญ่ในอินเดียล้วนสร้างมาจากศาสนาคริตส์นิกายเยซูอิตทั้งสิ้น ดังนั้นความคิดนี้จึงมีอิทธิพลอยู่มากในอินเดีย
ซึ่งโกลบอลโพสต์ถามแย้งว่า ถ้าเช่นนั้นหมายความว่า ความคิดที่นักการเมืองจำเป็นต้อง “ไม่ชอบเซ็กซ์-ปฏิเสธการแต่งงาน” นี้เป็นสิ่งที่ตกค้างมาจากยุคล่าอาณานิคม ไม่ใช่มาจากวัฒนธรรมฮินดูแต่อย่างใด ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชาวอินเดียได้กล่าวตอบอย่างมั่นใจว่า ไม่ใช่แน่นอน เพราะเทพเจ้าของฮินดูมีภรรยา และพิธีกรรมศาสนาฮินดูส่วนมากเกี่ยวข้องกับภรรยา และการบวงสรวงเทพเจ้าในฐานะคู่ไม่ใช่เพียงแต่เพศชาย
นอกจากนี้ศาสนาฮินดูในปัจจุบันนี้แสดงความต่างจากศาสนาพุทธที่พระศาสดานั้นทอดทิ้งครอบครัวเพื่อทรงออกผนวชเป็นบรรพชิต การแต่งงานและการมีครอบครัวถือเป็นหัวใจของชาวอินเดีย ดังนั้นค่านิยมที่ต้องการให้ผู้นำถือพรหมจรรย์นั้นเป็นสิ่งที่น่าฉงนหากมองในแง่ประเพณีฮินดู