เอเอฟพี – เจ้าหน้าที่สาธารณสุขแดนตากาล็อกเปิดเผยวันนี้ (16 เม.ย.) ว่าได้กักตัวชายชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่ง ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับจากตะวันออกกลาง เนื่องจากผลเลือดชี้ว่าเขาติดเชื้อไวรัโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS)
เอ็นริเก โอนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขฟิลิปปินส์แถลงว่า ได้กักตัวชายซึ่งเดินทางมาถึงฟิลิปปินส์วานนี้ (15) ไว้ที่โรงพยาบาลโดยแยกจากผู้ป่วยอื่นๆ แม้ว่าเขาจะยังไม่แสดงอาการของโรค
นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังกักตัวครอบครัวชายคนนี้ และติดตามหาผู้ที่สัมผัสเขาในระหว่างเดินทางโดยเครื่องบิน เพื่อตรวจสอบว่าพวกเขาได้รับเชื้อไวรัสโคโรนากลุ่มอาการระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือ MERS หรือไม่
โอนากล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ชายซึ่งขอไม่เปิดเผยนามผู้นี้ เคยเป็นพนักงานโรงพยาบาลในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอาจมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยที่เสียชีวิตเพราะเชื้อไวรัส MERS ในประเทศดังกล่าว
โอนาระบุว่า ชายชาวฟิลิปปินส์ผู้นี้คือหนึ่งในผู้ที่ผ่านการตรวจเลือด หลังสัมผัสผู้เสียชีวิต
รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงว่า “ก่อนที่แพทย์จะแจ้งผลเลือด เขาก็เดินทางกลับประเทศเสียก่อน และเมื่อเขามาถึงที่นี่ ก็เป็นที่รับทราบว่าผลเลือดของเขาเป็นบวก พวกเขาจึงแจ้งผู้ป่วยโดยทันที และเตือนเราเช่นกัน”
เขากล่าวเสริมว่า ได้ส่งนักระบาดวิทยาคนหนึ่งไปยังตะวันออกกลางเพื่อตรวจสอบสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส MERS โดยเฉพาะในหมู่คนงานชาวฟิลิปปินส์ราวหลายล้านคนซึ่งทำงานอยู่ในภูมิภาคนี้
เขากล่าวว่า รัฐบาลฟิลิปปินส์กำลังพยายามตรวจสอบรายงานที่ว่า พบพยาบาลชาวฟิลิปปินส์คนหนึ่งเสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้ในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกระตุ้นเตือนผู้ใดก็ตามที่เดินทางไปตะวันออกกลาง แล้วไม่นานนี้พบว่าตนเองมีไข้ให้ไปพบแพทย์
ทางด้านรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียกล่าววันนี้ (16) ว่ามีชายคนหนึ่งเสียชีวิตจากไวรัส MERS ในเมืองเจดดาห์ทางภาคตะวันตกของประเทศ ส่งผลให้ยอดเหยื่อผู้เสียชีวิตในประเทศซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุดแห่งนี้ขยับขึ้นสู่ 71 ราย
องค์การอนามัยโลก (ฮู) แถลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11) ว่าได้รับแจ้งว่ามีผู้ติดเชื้อทั่วโลก ที่ผลตรวจจากห้องแล็บยืนยันทั้งสิ้น 212 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 88 ราย
ทั้งนี้ เชื้อไวรัสชนิดนี้จัดว่าอันตรายร้ายแรงกว่าโรคซาร์ส แต่มีโอกาสติดต่อน้อยกว่า โดย ซาร์ส ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสในตระกูลเดียวกันเคยแพร่ระบาดในเอเชียเมื่อปี 2003 จนมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 8,273 คน และมีผู้ป่วย 9 เปอร์เซ็นต์เสียชีวิต