เอเอฟพี - โรงพยาบาลรัฐหลักในเมืองเจดดาห์ ของซาอุดีอาระเบียต้องปิดห้องฉุกเฉิน หลังพบบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง (MERS) เพิ่มมากขึ้น กระทรวงสาธารณสุขแถลงในวันอังคาร (8 เม.ย.) ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคติดต่อคล้ายซาร์สในประเทศแห่งนี้เพิ่มเป็น 66 รายแล้ว
บุคลากรทางการแพทย์รายหนึ่งในโรงพยาบาลรัฐแห่งนี้ เป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อ 2 คน ที่ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขซาอุดีอาระเบียรายงานเมื่อวันอาทิตย์ (6) ว่าเป็นเหยื่อล่าสุดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง ส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตทั่วประเทศจากภัยโรคติดต่อมรณะนี้เพิ่มเป็น 66 ศพ
ในวันจันทร์ (7) กระทรวงสาธารณสุขซาอุดีอาระเบียระบุว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในเจดดาห์เพิ่มเติมอีก 4 ราย โดย 2 ในนั้นเป็นบุคลากรสาธารณสุข กระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ต้องปิดแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลคิงฟาห์ด โดยคนไข้ถูกโอนย้ายไปยังโรงพยาบาลอื่นๆระหว่างที่ดำเนินการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งคาดว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม แม้ทางโรงพยาบาลให้คำรับประกันว่าสถานการณ์ยังคงไม่มีอะไรน่ากังวลและได้ใช้ทุกมาตรการป้องกันไว้ก่อนสำหรับจัดการกับไวรัสสายพันธุ์นี้แล้ว ทว่าการปิดแผนกฉุกเฉินก็ก่อวคามกังวลแก่ผู้คนอย่างกว้างขวาง และโหมกระพือข่าวลือบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ “ผมกลัวจนไม่กล้าให้ลูกไปโรงเรียนเลย” ชาวบ้านคนหนึ่งบอก
รวมแล้วในเมืองเจดดาห์ มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ตะวันออกกลาง 11 คนจากจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด 175 คนทั่วประเทศ นับตั้งแต่ตรวจพบไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจแบบเฉียบพลันนี้ครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2012 โดยในจำนวน 11 รายนั้น มี 2 รายเสียชีวิต 6 คนฟื้นไข้แล้วและอีก 3 คนอยู่ระหว่างการรักษา
นักวิทยาศาสตร์ยังอยู่ระหว่างศึกษาต้นตอและช่องทางการแพร่ระบาดของไวรัสร้ายแรงชนิดนี้ ซึ่งปัจจุบันยังไม่วัคซีนป้องกันได้ โดยจากการศึกษาวิจัยเบื้องต้นพบว่า ไวรัส MERS พบได้ทั่วไปในอูฐ มานานอย่างน้อย 20 ปีแล้ว และบางทีการแพร่เชื้อโดยตรงจากสัตว์ชนิดนี้สู่คน
MERS ถูกจัดอยู่ในตระกูลเดียวกับไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจเฉียบพลัน (SARS) ซึ่งเคยแพร่ระบาดในเอเชียเมื่อปี 2003 โดยครั้งนั้นมีผู้ติดเชื้อไวรัสซาร์สมากถึง 8,273 คน และร้อยละ 9 เสียชีวิต
องค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงเมื่อสิ้นเดือนมีนาคมว่า ได้รับรายงานผู้ติดเชื้อไวรัส MERS ที่ผ่านการตรวจยืนยันโดยห้องปฏิบัติการ (laboratory-confirmed) แล้วทั้งสิ้น 206 กรณี ซึ่งในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 86 ราย
