“ความไม่เอาไหน”ของสหรัฐฯ ปลุก “ชาตินิยม”รัสเซีย
(ฝันหวานเป็นเจ้าโลกของสหรัฐฯตายสนิทใน 'ไครเมีย' ตอน3)
โดย เดอะ เซกเกอร์
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Death throes of world supremacy
By THE SAKER
18/03/2014
นอกเหนือจากการเดินพาเหรดในชุดเครื่องแบบของพวกขวาจัดที่ต้องการเป็นนาซี, การรับเงินรับทองจากสหรัฐฯ, และการกรีดร้องตะโกนคำขวัญว่า “ยูเครนจงเจริญ!” ยังมีอะไรที่ต้องทำกันอีกมากมายนักในการสร้างชาติที่ล้มละลายไปแล้วให้พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ ทว่าสหรัฐฯนั่นเองที่ช่วยให้ยูเครนก้าวเข้าสู่สถานการณ์อันบ้าบอคอแตกเช่นนี้ เพราะนโยบายการต่างประเทศของวอชิงตันนั้นไม่ได้ดำเนินโดยเหล่านักการทูต ทว่ารับผิดชอบโดยเหล่านักการเมือง ผู้ซึ่งหวั่นหวาดสัญญาณต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯมิได้เป็นอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกอย่างแท้จริงอีกแล้ว และความหวาดกลัวเช่นนี้เองที่ทำให้พวกเขามองเห็นไปว่า การทำให้ยูเครนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คือเป้าหมายที่ทรงความสำคัญในลำดับต้นๆ
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 5 ตอน นี่คือตอน3 *
(ต่อจากตอน2)
**“ความไม่เอาไหน”ของสหรัฐฯกลับส่งผลปลุก “กระแสรักชาติ” ในรัสเซีย**
ย้อนหลังไปในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมได้เขียนถึงเรื่องประชากรในยูเครนที่เป็นคนพูดภาษารัสเซียเอาไว้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://vineyardsaker.blogspot.com/2013_11_01_archive.html) ดังนี้:
“ผู้คนเหล่านี้ไม่มีวิสัยทัศน์, ไม่มีอุดมการณ์, ไม่มีเป้าหมายอนาคตที่สามารถระบุแจกแจงได้อย่างชัดเจน ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถเสนอออกมาได้ก็คือข้อความประการหนึ่ง ซึ่งโดยเนื้อหาสาระแล้ว บอกว่าอย่างนี้ “เราไม่มีทางเลือกอะไรอื่นอีกแล้วนอกจากการขายตัวให้แก่ชาวรัสเซียผู้ร่ำรวย ซึ่งย่อมดีกว่าการขายตัวให้แก่ชาวยุโรปผู้ยากจน” หรือ “ทั้งหมดที่พวกเราสามารถเอาออกมาจากอียูคือคำพูด ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียต่างหากที่กำลังเสนอเงินทอง” นี่ย่อมเป็นความจริง กระนั้นก็ตาม ถ้าหากจะให้พูดจาตำหนิติเตียนอย่างเบาหวิวที่สุด ก็ยังคงต้องบอกว่า ข้อความนี้ช่างขาดไร้แรงบันดาลใจ ช่างขาดไร้สง่าราศีเป็นอย่างยิ่ง”
อีก 1 เดือนต่อมา ผมเขียนเพิ่มเติมดังนี้:
“ชาวรัสเซีย 17 ล้านเหล่านี้ และชาวยูเครนที่นิยมฝักใฝ่รัสเซียอีกหลายล้านคน เวลานี้กำลังทำอะไรกันอยู่? ตอนนี้ประเทศชาติของพวกเขากำลังถูกผลักดันอย่างตรงไปตรงมาจนกระทั่งใกล้จะตกหน้าผาแล้ว แต่พวกเขายังคงไม่ได้ลงมือทำอะไรกันเลย มีธงชาติรัสเซียกี่ผืนกันที่คุณมองเห็นได้ในการชุมนุมเดินขบวนครั้งต่างๆ ในยูเครนตะวันออก ไม่ว่าจะในเมืองโดเนตสก์ (Donetsk) หรือในเมืองเซวาสโตโปล (Sevastopol)? ครับ ถูกต้องแล้วครับ 0 ผืนครับ แม้กระทั่งพวกที่เรียกกันว่า “ชาวรัสเซีย” และ “พวกนิยมรัสเซีย” ก็ยังกำลังเดินขบวนภายใต้การโบกสะบัดของผืนธงสีเหลือง-ฟ้า ซึ่งเป็นสีของยูเครนตะวันตก สีของแคว้นกาลีเซีย (Galicia) พวกคุณพูดว่าเวลานี้ประเด็นที่กำลังเป็นเดิมพันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่คือประเด็นทางด้านศีลธรรมและทางด้านจิตวิญญาณ –แต่พวกคุณเคยได้ยินชาวยูเครนตะวันออกหยิบยกชูประเด็นอย่างนี้ขึ้นมาไหม? พวกเขาเคยไหมที่จะพูดถึงท่านนักบุญเป็นพันเป็นหมื่นท่านผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้? พวกเขาเคยไหมที่จะอ้างอิงถึงชาวรัสเซียหลายล้านคนผู้พลีชีพไปในการปลดปล่อยดินแดนแห่งนี้ให้เป็นอิสระจากชาวโปแลนด์, พวกเยซูอิต, และพวกชาวยิวผู้ควบคุมดูแล ซึ่งถูกแต่งตั้งมาให้คอยควบคุมชาวคริสเตียนออร์โธด็อกซ์? ไม่เคยเลย ไม่มีเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่พูดๆ กันก็มีแต่เรื่องของเงิน เงิน และเงิน เท่านั้น อย่างเช่นว่า “เราจะยากจนถ้าอยู่กับอียู อยู่กับรัสเซียนั้นธุรกิจของเราจะเฟื่องฟู” --นี่แหละคือแนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับจิตวิญญาณ พวกนิยมรัสเซียในยูเครนหรือ? เฮอะ ผมขอถามพวกคุณอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อตอนที่ทราบกันว่ามีอาสาสมัครชาวยูเครนไปสู้รบเคียงข้างพวกมุสลิมวะฮาบีชาวเชชเนียน่ะ คุณเคยเห็นมีการประท้วงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ในยูเครนไหม? หรือเมื่อตอนที่รัฐบาลยูเครนกำลังติดอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้าให้แก่ ซาคัชวีลิ (หมายเหตุผู้แปล - หมายถึง มีเคอิล ซาคัชวีลิ Mikheil Saakashvili นักการเมืองนิยมนาโต้และนิยมตะวันตกซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจอร์เจีย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2004 ถึง พฤศจิกายน 2013 --ข้อมูลจาก wikipedia) คุณได้เห็นมีการประท้วงอะไรในยูเครนไหม? ไม่เคยเลย ไม่มีเลย คำว่า “นิยมรัสเซีย” ในเวอร์ชั่นของพวกเขาหมายความเพียงว่า “พวกเราชอบเงินของรัสเซีย” พวกเขาไม่ได้นิยมรัสเซียหรอก พวกเขานิยมเงินรูเบิลของรัสเซียต่างหาก!”
เมื่อคิดย้อนไปถึงตอนนั้น ที่ผมเคยพูดเอาไว้นั้น ผมพูดผิดหรือเปล่า? ไม่ผิดเลย นี่เป็นความเป็นจริงอันน่าเศร้าใจในตอนนั้น สิ่งที่บังเกิดขึ้นมาจริงๆ ในระยะหลังๆ มานี้ก็คือ เพียงช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาประชากรชาวรัสเซียซึ่งเป็นพวกที่เอาแต่นิ่งเฉยแทบไม่ยอมขยับเขยื้อนอะไรเลยนั้น ได้ผ่าน “การบำบัดรักษาด้วยการช็อกไฟฟ้า” (shock-therapy) อย่างเหี้ยมโหดทารุณ ซึ่งได้ทำให้พวกเขาตื่นฟื้นขึ้นมาจากอาการมึนงงกึ่งสลบ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากถูกกล่อมเกลาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของพวกนักชาตินิยมยูเครนเป็นระยะเวลา 22 ปี ผสมผสานกับการที่ทางรัสเซียเองก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยถึงพวกเขาเอาเสียเลย ผู้คนพูดภาษารัสเซียเหล่านี้ซึ่งเมื่อก่อนเป็น “มนุษย์ล่องหน” ราวกับไม่มีตัวตน จู่ๆ ก็กลับตื่นฟื้นขึ้นมา
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ประการแรก เนื่องจากมีการแสดงที่แปลกๆ เพี้ยนๆ ของนาซี รอบๆ จัตุรัสเมดาน (Maidan square) ในกรุงเคียฟ ซึ่งไม่ช้าไม่นานก็ยกระดับความรุนแรงขึ้นเป็นการก่อกบฏด้วยกำลังอาวุธ ครั้นแล้วเมื่อ (ประธานาธิบดี วิกตอร์) ยานูโควิช ถูกโค่นล้มลงไปในที่สุด การตัดสินใจแรกๆ ที่สุดของระบอบปกครองใหม่ในกรุงเคียฟก็คือ การออกกฎหมายยกเลิกการใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของยูเครน และออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งเพื่อยกเลิกการห้ามการโฆษณาชวนเชื่อแบบนาซี ในเวลาเดียวกันนั้น การโจมตีอย่างเป็นระลอกเพื่อเล่นงาน “ผู้สมรู้ร่วมคิด” กับระบอบปกครองยานูโควิช ไม่ช้าไม่นานก็เปลี่ยนไปเป็นการรณรงค์ก่อความหวาดกลัวสยดสยองที่มุ่งต่อต้านรัสเซีย และเป็นครั้งแรกที่พวกผู้พูดภาษารัสเซียเริ่มรู้สึกหวั่นผวาเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจึงเริ่มต้นออกมาชุมนุมออกมาประท้วงอย่างเปิดเผยและส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
สภาวการณ์เช่นนี้ ก็ได้ส่งผลกลายเป็นชนวนทำให้ชาวรัสเซียที่อยู่ในรัสเซียจำนวนมากเกิดความรู้สึกว่าจะต้องประเมินสถานการณ์กันเสียใหม่ หลังจากนี้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เคยกล่าวหาพี่น้องร่วมภาษาร่วมชนชาติของเขาที่อยู่ในยูเครนว่าเป็นพวกนอนหลับคุดคู้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ในรายการทอล์กโชว์จำนวนมาก ผู้คนที่พูดภาษารัสเซียจากยูเครนซึ่งมาร้องทุกข์พร่ำรำพันเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา มักจะถูกเบรกถูกสอนสั่งว่า “พวกเราจะไม่ช่วยพวกคุณหรอก ถ้าพวกคุณยังไม่เริ่มต้นด้วยการช่วยเหลือตัวพวกคุณเองเป็นอันดับแรก พวกคุณจะต้องกล้าพูดออกมา และลงมือทำสิ่งต่างๆ เพื่อคัดค้านระบอบปกครองใหม่นี้ ก่อนที่พวกเราจะทำอะไรบ้าง พวกเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพวกคุณให้แก่พวกคุณได้หรอก พวกคุณต้องเป็นฝ่ายลงมือเป็นอันดับแรก จากนั้นพวกเราจึงจะช่วย” และเมื่อประชากรทางภาคตะวันออกและทางภาคใต้ของยูเครนออกมาชุมนุมออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในที่สุด คราวนี้พวกเขาไม่ได้ชูธงของยูเครนแล้ว แต่ชูธงชาติรัสเซีย ประชาชนในรัสเซียก็มองเห็นอย่างถนัดถนี่ และเริ่มต้นเปลี่ยนทัศนะมุมมองของพวกเขาต่อสถานการณ์ในยูเครน
ด้วยเหตุผลในทางภววิสัยอันยาวเหยียด ไครเมียได้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งส่งเสียงดังที่สุดในขบวนการประท้วงนี้ และดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่พัฒนาการอันใหญ่โตในลำดับถัดจากนั้น ได้บังเกิดขึ้นที่ไครเมียนี้ ทั้งนี้พวกสำนักข่าวกรองของรัสเซียสามารถตรวจจับได้อย่างชัดเจนว่า กำลังจะเกิดการยึดอำนาจในบางรูปแบบขึ้นมาในไครเมีย และวังเครมลินก็ทำการตัดสินใจอันทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด ด้วยการส่งกองกำลังที่เรียกขานกันว่า “ชายติดอาวุธในชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อย” (Polite Armed Men in Green และใช้อักษรย่อว่า PAMG) หรือที่ธรรมดาแล้วใช้ชื่อว่า “สเปซนัซ จีอาร์ยู” (Spetsnaz GRU กองกำลังรบพิเศษของสำนักงานข่าวกรองจีอาร์ยู)
อะไรกันแน่คือสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียตรวจจับได้ เวลานี้ก็ยังไม่เป็นที่กระจ่าง แต่สิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็คือลักษณะที่ “ชายติดอาวุธในชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อย” ถูกส่งเข้าไปประจำในไครเมียนั้น ไม่ได้ใช้วิธีการเคลื่อนพลของกองกำลังอาวุธตามปกติในยามสันติ หากแต่เป็นวิธีการส่งกองกำลังรบพิเศษเข้าไปในการปฏิบัติการทางทหารยามสงคราม กล่าวคือ ใช้ความรวดเร็ว, ปิดบังอำพราง, มีกำลังยิงขนาดหนักสนับสนุน, และมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการยึดพื้นที่เอาไว้และรอคอยกำลังหนุนเข้ามาเสริมในเวลาต่อไป การส่ง “ชายติดอาวุธในชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อย” เข้าไปในไครเมียในคืนนั้น ดูเหมือนจะสามารถยับยั้งการก่อการยึดอำนาจที่มีผู้วางแผนเอาไว้ โดยที่มีรายงานการปะทะกันอย่างเบาบางมากและไม่ช้าไม่นานก็ถูกลืมเลือนไป
ผลลัพธ์สำคัญที่สุดของความเคลื่อนไหวของ ปูติน ในคราวนี้ ก็คือ มันเป็นการส่งข้อความอันทรงพลังมากไปถึงผู้พูดภาษารัสเซียในส่วนอื่นๆ ของยูเครน ว่า รัสเซียจะไม่ยอมปล่อยให้ระบอบปกครองใหม่ในยูเครนที่เป็นพวกฟาสซิสต์ใหม่ (neo-Fascist) โจมตีทำร้ายพวกคุณและก่อการร้ายสร้างความสยดสยองต่อพวกคุณ สิ่งที่ ปูติน ทำไปนั้น ก็คือการขยาย “โล่ป้องกันทางจิตวิทยา” ให้ปกคลุมดินแดนภาคตะวันออกและภาคใต้ของยูเครนที่เป็นพื้นที่พำนักอาศัยของผู้คนที่พูดภาษารัสเซีย และทำให้พวกยูเครนขวาจัดนิยมบันเดรา จำใส่ใจไว้ว่า ถ้าหากพวกเขาก้าวล้ำเส้น พวกเขาก็จะต้องเปิดศึกกับกองทัพรัสเซียและถูกทำลายย่อยยับ นี่เป็นผลลัพธ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และไม่ช้าไม่นานประชาชนผู้ประท้วงก็มีขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้นและมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น สำหรับระบอบปกครองใหม่ในยูเครนแล้ว ทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้ก็คือการใช้กำลังตำรวจลับ SBU เข้าจับกุมผู้นำทางการเมืองบางคน แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว เคียฟไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อปราบปรามภูมิภาคต่างๆ เหล่านี้โดยอาศัยกำลังทหารได้ (อย่างน้อยที่สุด จนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังไม่สามารถทำได้) ท้ายที่สุด เนื่องจากได้เห็นชาวรัสเซียในยูเครนก่อการประท้วงขึ้นมาเป็นจำนวนมากอย่างฉับพลัน จึงมีชาวรัสเซียมากขึ้นๆ ลงสู่ท้องถนนในรัสเซียเพื่อแสดงความสนับสนุนพี่น้องร่วมภาษาร่วมชนชาติในยูเครน ผลลัพธ์ในขั้นสุดท้ายของสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนี้ ก็คือ มันเป็นการปลุกอัตลักษณ์แห่งชาติของชาวรัสเซียที่เมื่อก่อนอยู่ในสภาพค่อนข้างเซื่องซึมเฉือยเนือย ตลอดจนเป็นการปลุกความสำนึกแห่งลัทธิรักชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่วังเครมลินไม่เคยแม้กระทั่งฝันว่าจะสามารถโน้มน้าวเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นในประชาชนชาวรัสเซียได้
พวกสื่อมวลชนตะวันตกกำลังสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นจริงๆ จากการพยายามไม่สังเกตสังกาสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ขณะที่พวกนักวิจารณ์ทางสื่อ (คอมเมนเตเตอร์) และนักการเมืองของโลกตะวันตก ต่างกำลังทำเสมือนกับว่ายังคงมีหนทางอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งจะสามารถผลักดันเจ้ายักษ์จินนี่แห่งลัทธิรักชาติรัสเซีย ให้กลับลงไปในขวดแก้วอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้ว พวกเขานั่นเอง หาใช่วังเครมลินไม่ คือผู้ที่ทำให้ยักษ์จินนี่ตนนี้ออกมาจากขวดตั้งแต่ในตอนแรก สิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ วงการโฆษณาชวนเชื่อของโลกตะวนตกยังคงพยายามที่จะนำเสนอประเด็นนี้ ในฐานะที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับอนาคตของยูเครน มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ยูเครนเวลานี้ไปลับแล้ว, ตาย, จบสิ้น, มีแต่เสื่อมสลายไปอยู่ในอดีตตลอดกาล
ประเด็นในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องอนาคตของยูเครนเลย แต่เป็นเรื่องอนาคตของจักรวรรดิสหรัฐอเมริกาต่างหาก
เดอะ เซกเกอร์ เป็นชื่อของบล็อกเกอร์ซึ่งไม่ปรากฏนามจริง โดยเขียนประจำอยู่ที่บล็อก The Vineyard of the Saker (http://vineyardsaker.blogspot.com/) นอกจากนั้นยังเขียนให้แก่เอเชียไทมส์ออนไลน์อยู่เป็นระยะๆ
(ข้อเขียนชิ้นนี้มี 5 ตอน
ตอน 1 ประชามติ 'ไครเมีย' และ พวกขวาจัด 'ยูเครน' ที่สหรัฐฯหนุนหลัง
ตอน2 ยูเครนสำคัญอย่างไรในเป้าหมายทั่วโลกของสหรัฐฯ
ตอน3 “ความไม่เอาไหน”ของสหรัฐฯปลุก “ชาตินิยม”รัสเซีย
ตอน4 จักรวรรดิอเมริกัน “เสียท่า” ครั้งใหญ่
ตอน5 อนาคตของ “ยูเครน” และ ฝันหวานเป็นเจ้าโลกของ “สหรัฐฯ”)
(ฝันหวานเป็นเจ้าโลกของสหรัฐฯตายสนิทใน 'ไครเมีย' ตอน3)
โดย เดอะ เซกเกอร์
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Death throes of world supremacy
By THE SAKER
18/03/2014
นอกเหนือจากการเดินพาเหรดในชุดเครื่องแบบของพวกขวาจัดที่ต้องการเป็นนาซี, การรับเงินรับทองจากสหรัฐฯ, และการกรีดร้องตะโกนคำขวัญว่า “ยูเครนจงเจริญ!” ยังมีอะไรที่ต้องทำกันอีกมากมายนักในการสร้างชาติที่ล้มละลายไปแล้วให้พลิกฟื้นขึ้นมาใหม่ ทว่าสหรัฐฯนั่นเองที่ช่วยให้ยูเครนก้าวเข้าสู่สถานการณ์อันบ้าบอคอแตกเช่นนี้ เพราะนโยบายการต่างประเทศของวอชิงตันนั้นไม่ได้ดำเนินโดยเหล่านักการทูต ทว่ารับผิดชอบโดยเหล่านักการเมือง ผู้ซึ่งหวั่นหวาดสัญญาณต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯมิได้เป็นอภิมหาอำนาจหนึ่งเดียวของโลกอย่างแท้จริงอีกแล้ว และความหวาดกลัวเช่นนี้เองที่ทำให้พวกเขามองเห็นไปว่า การทำให้ยูเครนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ คือเป้าหมายที่ทรงความสำคัญในลำดับต้นๆ
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 5 ตอน นี่คือตอน3 *
(ต่อจากตอน2)
**“ความไม่เอาไหน”ของสหรัฐฯกลับส่งผลปลุก “กระแสรักชาติ” ในรัสเซีย**
ย้อนหลังไปในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมได้เขียนถึงเรื่องประชากรในยูเครนที่เป็นคนพูดภาษารัสเซียเอาไว้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://vineyardsaker.blogspot.com/2013_11_01_archive.html) ดังนี้:
“ผู้คนเหล่านี้ไม่มีวิสัยทัศน์, ไม่มีอุดมการณ์, ไม่มีเป้าหมายอนาคตที่สามารถระบุแจกแจงได้อย่างชัดเจน ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถเสนอออกมาได้ก็คือข้อความประการหนึ่ง ซึ่งโดยเนื้อหาสาระแล้ว บอกว่าอย่างนี้ “เราไม่มีทางเลือกอะไรอื่นอีกแล้วนอกจากการขายตัวให้แก่ชาวรัสเซียผู้ร่ำรวย ซึ่งย่อมดีกว่าการขายตัวให้แก่ชาวยุโรปผู้ยากจน” หรือ “ทั้งหมดที่พวกเราสามารถเอาออกมาจากอียูคือคำพูด ในขณะที่ฝ่ายรัสเซียต่างหากที่กำลังเสนอเงินทอง” นี่ย่อมเป็นความจริง กระนั้นก็ตาม ถ้าหากจะให้พูดจาตำหนิติเตียนอย่างเบาหวิวที่สุด ก็ยังคงต้องบอกว่า ข้อความนี้ช่างขาดไร้แรงบันดาลใจ ช่างขาดไร้สง่าราศีเป็นอย่างยิ่ง”
อีก 1 เดือนต่อมา ผมเขียนเพิ่มเติมดังนี้:
“ชาวรัสเซีย 17 ล้านเหล่านี้ และชาวยูเครนที่นิยมฝักใฝ่รัสเซียอีกหลายล้านคน เวลานี้กำลังทำอะไรกันอยู่? ตอนนี้ประเทศชาติของพวกเขากำลังถูกผลักดันอย่างตรงไปตรงมาจนกระทั่งใกล้จะตกหน้าผาแล้ว แต่พวกเขายังคงไม่ได้ลงมือทำอะไรกันเลย มีธงชาติรัสเซียกี่ผืนกันที่คุณมองเห็นได้ในการชุมนุมเดินขบวนครั้งต่างๆ ในยูเครนตะวันออก ไม่ว่าจะในเมืองโดเนตสก์ (Donetsk) หรือในเมืองเซวาสโตโปล (Sevastopol)? ครับ ถูกต้องแล้วครับ 0 ผืนครับ แม้กระทั่งพวกที่เรียกกันว่า “ชาวรัสเซีย” และ “พวกนิยมรัสเซีย” ก็ยังกำลังเดินขบวนภายใต้การโบกสะบัดของผืนธงสีเหลือง-ฟ้า ซึ่งเป็นสีของยูเครนตะวันตก สีของแคว้นกาลีเซีย (Galicia) พวกคุณพูดว่าเวลานี้ประเด็นที่กำลังเป็นเดิมพันเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่คือประเด็นทางด้านศีลธรรมและทางด้านจิตวิญญาณ –แต่พวกคุณเคยได้ยินชาวยูเครนตะวันออกหยิบยกชูประเด็นอย่างนี้ขึ้นมาไหม? พวกเขาเคยไหมที่จะพูดถึงท่านนักบุญเป็นพันเป็นหมื่นท่านผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้? พวกเขาเคยไหมที่จะอ้างอิงถึงชาวรัสเซียหลายล้านคนผู้พลีชีพไปในการปลดปล่อยดินแดนแห่งนี้ให้เป็นอิสระจากชาวโปแลนด์, พวกเยซูอิต, และพวกชาวยิวผู้ควบคุมดูแล ซึ่งถูกแต่งตั้งมาให้คอยควบคุมชาวคริสเตียนออร์โธด็อกซ์? ไม่เคยเลย ไม่มีเลย ทั้งหลายทั้งปวงที่พูดๆ กันก็มีแต่เรื่องของเงิน เงิน และเงิน เท่านั้น อย่างเช่นว่า “เราจะยากจนถ้าอยู่กับอียู อยู่กับรัสเซียนั้นธุรกิจของเราจะเฟื่องฟู” --นี่แหละคือแนวความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับจิตวิญญาณ พวกนิยมรัสเซียในยูเครนหรือ? เฮอะ ผมขอถามพวกคุณอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อตอนที่ทราบกันว่ามีอาสาสมัครชาวยูเครนไปสู้รบเคียงข้างพวกมุสลิมวะฮาบีชาวเชชเนียน่ะ คุณเคยเห็นมีการประท้วงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ในยูเครนไหม? หรือเมื่อตอนที่รัฐบาลยูเครนกำลังติดอาวุธตั้งแต่หัวจรดเท้าให้แก่ ซาคัชวีลิ (หมายเหตุผู้แปล - หมายถึง มีเคอิล ซาคัชวีลิ Mikheil Saakashvili นักการเมืองนิยมนาโต้และนิยมตะวันตกซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจอร์เจีย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2004 ถึง พฤศจิกายน 2013 --ข้อมูลจาก wikipedia) คุณได้เห็นมีการประท้วงอะไรในยูเครนไหม? ไม่เคยเลย ไม่มีเลย คำว่า “นิยมรัสเซีย” ในเวอร์ชั่นของพวกเขาหมายความเพียงว่า “พวกเราชอบเงินของรัสเซีย” พวกเขาไม่ได้นิยมรัสเซียหรอก พวกเขานิยมเงินรูเบิลของรัสเซียต่างหาก!”
เมื่อคิดย้อนไปถึงตอนนั้น ที่ผมเคยพูดเอาไว้นั้น ผมพูดผิดหรือเปล่า? ไม่ผิดเลย นี่เป็นความเป็นจริงอันน่าเศร้าใจในตอนนั้น สิ่งที่บังเกิดขึ้นมาจริงๆ ในระยะหลังๆ มานี้ก็คือ เพียงช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาประชากรชาวรัสเซียซึ่งเป็นพวกที่เอาแต่นิ่งเฉยแทบไม่ยอมขยับเขยื้อนอะไรเลยนั้น ได้ผ่าน “การบำบัดรักษาด้วยการช็อกไฟฟ้า” (shock-therapy) อย่างเหี้ยมโหดทารุณ ซึ่งได้ทำให้พวกเขาตื่นฟื้นขึ้นมาจากอาการมึนงงกึ่งสลบ ที่เกิดขึ้นเนื่องจากถูกกล่อมเกลาด้วยการโฆษณาชวนเชื่อของพวกนักชาตินิยมยูเครนเป็นระยะเวลา 22 ปี ผสมผสานกับการที่ทางรัสเซียเองก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยถึงพวกเขาเอาเสียเลย ผู้คนพูดภาษารัสเซียเหล่านี้ซึ่งเมื่อก่อนเป็น “มนุษย์ล่องหน” ราวกับไม่มีตัวตน จู่ๆ ก็กลับตื่นฟื้นขึ้นมา
เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
ประการแรก เนื่องจากมีการแสดงที่แปลกๆ เพี้ยนๆ ของนาซี รอบๆ จัตุรัสเมดาน (Maidan square) ในกรุงเคียฟ ซึ่งไม่ช้าไม่นานก็ยกระดับความรุนแรงขึ้นเป็นการก่อกบฏด้วยกำลังอาวุธ ครั้นแล้วเมื่อ (ประธานาธิบดี วิกตอร์) ยานูโควิช ถูกโค่นล้มลงไปในที่สุด การตัดสินใจแรกๆ ที่สุดของระบอบปกครองใหม่ในกรุงเคียฟก็คือ การออกกฎหมายยกเลิกการใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของยูเครน และออกกฎหมายอีกฉบับหนึ่งเพื่อยกเลิกการห้ามการโฆษณาชวนเชื่อแบบนาซี ในเวลาเดียวกันนั้น การโจมตีอย่างเป็นระลอกเพื่อเล่นงาน “ผู้สมรู้ร่วมคิด” กับระบอบปกครองยานูโควิช ไม่ช้าไม่นานก็เปลี่ยนไปเป็นการรณรงค์ก่อความหวาดกลัวสยดสยองที่มุ่งต่อต้านรัสเซีย และเป็นครั้งแรกที่พวกผู้พูดภาษารัสเซียเริ่มรู้สึกหวั่นผวาเกี่ยวกับอนาคตของพวกเขาขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจึงเริ่มต้นออกมาชุมนุมออกมาประท้วงอย่างเปิดเผยและส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ
สภาวการณ์เช่นนี้ ก็ได้ส่งผลกลายเป็นชนวนทำให้ชาวรัสเซียที่อยู่ในรัสเซียจำนวนมากเกิดความรู้สึกว่าจะต้องประเมินสถานการณ์กันเสียใหม่ หลังจากนี้ก่อนหน้านี้พวกเขาได้เคยกล่าวหาพี่น้องร่วมภาษาร่วมชนชาติของเขาที่อยู่ในยูเครนว่าเป็นพวกนอนหลับคุดคู้ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ตัวอย่างเช่น ในรายการทอล์กโชว์จำนวนมาก ผู้คนที่พูดภาษารัสเซียจากยูเครนซึ่งมาร้องทุกข์พร่ำรำพันเกี่ยวกับชะตากรรมของพวกเขา มักจะถูกเบรกถูกสอนสั่งว่า “พวกเราจะไม่ช่วยพวกคุณหรอก ถ้าพวกคุณยังไม่เริ่มต้นด้วยการช่วยเหลือตัวพวกคุณเองเป็นอันดับแรก พวกคุณจะต้องกล้าพูดออกมา และลงมือทำสิ่งต่างๆ เพื่อคัดค้านระบอบปกครองใหม่นี้ ก่อนที่พวกเราจะทำอะไรบ้าง พวกเราไม่สามารถแก้ไขปัญหาของพวกคุณให้แก่พวกคุณได้หรอก พวกคุณต้องเป็นฝ่ายลงมือเป็นอันดับแรก จากนั้นพวกเราจึงจะช่วย” และเมื่อประชากรทางภาคตะวันออกและทางภาคใต้ของยูเครนออกมาชุมนุมออกมาเดินขบวนตามท้องถนนในที่สุด คราวนี้พวกเขาไม่ได้ชูธงของยูเครนแล้ว แต่ชูธงชาติรัสเซีย ประชาชนในรัสเซียก็มองเห็นอย่างถนัดถนี่ และเริ่มต้นเปลี่ยนทัศนะมุมมองของพวกเขาต่อสถานการณ์ในยูเครน
ด้วยเหตุผลในทางภววิสัยอันยาวเหยียด ไครเมียได้กลายเป็นพื้นที่ซึ่งส่งเสียงดังที่สุดในขบวนการประท้วงนี้ และดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรที่พัฒนาการอันใหญ่โตในลำดับถัดจากนั้น ได้บังเกิดขึ้นที่ไครเมียนี้ ทั้งนี้พวกสำนักข่าวกรองของรัสเซียสามารถตรวจจับได้อย่างชัดเจนว่า กำลังจะเกิดการยึดอำนาจในบางรูปแบบขึ้นมาในไครเมีย และวังเครมลินก็ทำการตัดสินใจอันทรงความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่สุด ด้วยการส่งกองกำลังที่เรียกขานกันว่า “ชายติดอาวุธในชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อย” (Polite Armed Men in Green และใช้อักษรย่อว่า PAMG) หรือที่ธรรมดาแล้วใช้ชื่อว่า “สเปซนัซ จีอาร์ยู” (Spetsnaz GRU กองกำลังรบพิเศษของสำนักงานข่าวกรองจีอาร์ยู)
อะไรกันแน่คือสิ่งที่ฝ่ายรัสเซียตรวจจับได้ เวลานี้ก็ยังไม่เป็นที่กระจ่าง แต่สิ่งที่ชัดเจนแจ่มแจ้งก็คือลักษณะที่ “ชายติดอาวุธในชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อย” ถูกส่งเข้าไปประจำในไครเมียนั้น ไม่ได้ใช้วิธีการเคลื่อนพลของกองกำลังอาวุธตามปกติในยามสันติ หากแต่เป็นวิธีการส่งกองกำลังรบพิเศษเข้าไปในการปฏิบัติการทางทหารยามสงคราม กล่าวคือ ใช้ความรวดเร็ว, ปิดบังอำพราง, มีกำลังยิงขนาดหนักสนับสนุน, และมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อการยึดพื้นที่เอาไว้และรอคอยกำลังหนุนเข้ามาเสริมในเวลาต่อไป การส่ง “ชายติดอาวุธในชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อย” เข้าไปในไครเมียในคืนนั้น ดูเหมือนจะสามารถยับยั้งการก่อการยึดอำนาจที่มีผู้วางแผนเอาไว้ โดยที่มีรายงานการปะทะกันอย่างเบาบางมากและไม่ช้าไม่นานก็ถูกลืมเลือนไป
ผลลัพธ์สำคัญที่สุดของความเคลื่อนไหวของ ปูติน ในคราวนี้ ก็คือ มันเป็นการส่งข้อความอันทรงพลังมากไปถึงผู้พูดภาษารัสเซียในส่วนอื่นๆ ของยูเครน ว่า รัสเซียจะไม่ยอมปล่อยให้ระบอบปกครองใหม่ในยูเครนที่เป็นพวกฟาสซิสต์ใหม่ (neo-Fascist) โจมตีทำร้ายพวกคุณและก่อการร้ายสร้างความสยดสยองต่อพวกคุณ สิ่งที่ ปูติน ทำไปนั้น ก็คือการขยาย “โล่ป้องกันทางจิตวิทยา” ให้ปกคลุมดินแดนภาคตะวันออกและภาคใต้ของยูเครนที่เป็นพื้นที่พำนักอาศัยของผู้คนที่พูดภาษารัสเซีย และทำให้พวกยูเครนขวาจัดนิยมบันเดรา จำใส่ใจไว้ว่า ถ้าหากพวกเขาก้าวล้ำเส้น พวกเขาก็จะต้องเปิดศึกกับกองทัพรัสเซียและถูกทำลายย่อยยับ นี่เป็นผลลัพธ์ที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร และไม่ช้าไม่นานประชาชนผู้ประท้วงก็มีขนาดใหญ่โตยิ่งขึ้นและมีความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้น สำหรับระบอบปกครองใหม่ในยูเครนแล้ว ทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้ก็คือการใช้กำลังตำรวจลับ SBU เข้าจับกุมผู้นำทางการเมืองบางคน แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว เคียฟไม่สามารถที่จะทำอะไรเพื่อปราบปรามภูมิภาคต่างๆ เหล่านี้โดยอาศัยกำลังทหารได้ (อย่างน้อยที่สุด จนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ยังไม่สามารถทำได้) ท้ายที่สุด เนื่องจากได้เห็นชาวรัสเซียในยูเครนก่อการประท้วงขึ้นมาเป็นจำนวนมากอย่างฉับพลัน จึงมีชาวรัสเซียมากขึ้นๆ ลงสู่ท้องถนนในรัสเซียเพื่อแสดงความสนับสนุนพี่น้องร่วมภาษาร่วมชนชาติในยูเครน ผลลัพธ์ในขั้นสุดท้ายของสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดนี้ ก็คือ มันเป็นการปลุกอัตลักษณ์แห่งชาติของชาวรัสเซียที่เมื่อก่อนอยู่ในสภาพค่อนข้างเซื่องซึมเฉือยเนือย ตลอดจนเป็นการปลุกความสำนึกแห่งลัทธิรักชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่วังเครมลินไม่เคยแม้กระทั่งฝันว่าจะสามารถโน้มน้าวเหนี่ยวนำให้เกิดขึ้นในประชาชนชาวรัสเซียได้
พวกสื่อมวลชนตะวันตกกำลังสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นจริงๆ จากการพยายามไม่สังเกตสังกาสิ่งต่างๆ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ขณะที่พวกนักวิจารณ์ทางสื่อ (คอมเมนเตเตอร์) และนักการเมืองของโลกตะวันตก ต่างกำลังทำเสมือนกับว่ายังคงมีหนทางอะไรสักอย่างหนึ่งซึ่งจะสามารถผลักดันเจ้ายักษ์จินนี่แห่งลัทธิรักชาติรัสเซีย ให้กลับลงไปในขวดแก้วอีกครั้งหนึ่ง ถึงแม้ในทางเป็นจริงแล้ว พวกเขานั่นเอง หาใช่วังเครมลินไม่ คือผู้ที่ทำให้ยักษ์จินนี่ตนนี้ออกมาจากขวดตั้งแต่ในตอนแรก สิ่งที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ วงการโฆษณาชวนเชื่อของโลกตะวนตกยังคงพยายามที่จะนำเสนอประเด็นนี้ ในฐานะที่เป็นประเด็นเกี่ยวกับอนาคตของยูเครน มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ยูเครนเวลานี้ไปลับแล้ว, ตาย, จบสิ้น, มีแต่เสื่อมสลายไปอยู่ในอดีตตลอดกาล
ประเด็นในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องอนาคตของยูเครนเลย แต่เป็นเรื่องอนาคตของจักรวรรดิสหรัฐอเมริกาต่างหาก
เดอะ เซกเกอร์ เป็นชื่อของบล็อกเกอร์ซึ่งไม่ปรากฏนามจริง โดยเขียนประจำอยู่ที่บล็อก The Vineyard of the Saker (http://vineyardsaker.blogspot.com/) นอกจากนั้นยังเขียนให้แก่เอเชียไทมส์ออนไลน์อยู่เป็นระยะๆ
(ข้อเขียนชิ้นนี้มี 5 ตอน
ตอน 1 ประชามติ 'ไครเมีย' และ พวกขวาจัด 'ยูเครน' ที่สหรัฐฯหนุนหลัง
ตอน2 ยูเครนสำคัญอย่างไรในเป้าหมายทั่วโลกของสหรัฐฯ
ตอน3 “ความไม่เอาไหน”ของสหรัฐฯปลุก “ชาตินิยม”รัสเซีย
ตอน4 จักรวรรดิอเมริกัน “เสียท่า” ครั้งใหญ่
ตอน5 อนาคตของ “ยูเครน” และ ฝันหวานเป็นเจ้าโลกของ “สหรัฐฯ”)