เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม เจ้าผู้ครองรัฐของดูไบ ประกาศในวันพุธ (19 มี.ค.) พร้อมทุมงบประมาณไม่อั้นเพื่อสร้าง “ดูไบ โอเปร่า เฮาส์” ตามรอย “ซิดนีย์ โอเปร่า เฮาส์” ของออสเตรเลีย หวังใช้เป็นจุดขายที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์อีกแห่งของดูไบ
รายงานข่าวระบุว่า ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม เจ้าผู้ครองรัฐของดูไบ วัย 64 พรรษา ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ประกาศในวันพุธ (19) ว่า พระองค์มีแผนทุ่มงบประมาณไม่อั้นเพื่อสร้าง “ดูไบ โอเปร่า เฮาส์” ขนาดความจุ 2,000 ที่นั่งในกลางย่านธุรกิจของดูไบ หวังเป็นคู่แข่งของ “ซิดนีย์ โอเปร่า เฮาส์” ในประเทศออสเตรเลีย
ชีคห์ โมฮัมเหม็ด เผยว่า หากการก่อสร้างดูไบ โอเปร่า เฮาส์แล้วเสร็จ เอมิเรตส์กลางทะเลทรายของพระองค์ก็จะก้าวขึ้นแท่นเป็นศูนย์กลางด้านศิลปะและวัฒนธรรมที่ทั่วโลกมิอาจมองข้ามได้
รายงานข่าวระบุว่า ดูไบ โอเปร่า เฮาส์ ขนาด 2,000 ที่นั่งแห่งนี้ซึ่งจะใช้รองรับการจัดแสดงทางวัฒนธรรมและศิลปะในระดับนานาชาติ จะถูกสร้างขึ้นในย่านธุรกิจซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอาคาร “เบิร์จ คาลิฟา” ความสูง 829.8 เมตร ที่ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ที่สูงที่สุดในโลก โดยในเบื้องต้นคาดว่าทีมสถาปนิกจะใช้รูปทรงจาก “เรือใบอาหรับโบราณ” เป็นแนวคิดหลักในการออกแบบ และคาดว่าบริษัท “Emaar Properties” ที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชวงศ์ดูไบจะเป็นผู้รับผิดชอบในการก่อสร้าง
อย่างไรก็ดี จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณที่ทางการดูไบ จะนำมาใช้ในโครงการนี้ว่าจะมีจำนวนเท่าใด และยังไม่มีการเปิดเผยกำหนดการก่อสร้างดูไบ โอเปร่า เฮาส์ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใดเช่นกัน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดในการเตรียมก่อสร้างดูไบ โอเปร่า เฮาส์ ของทางการดูไบ มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่อาบู ดาบี และธนาคารกลางแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่งให้ความเห็นชอบในวันอาทิตย์ (16 มี.ค.) ต่อมาตรการ “ปรับโครงสร้างหนี้” จำนวน 20,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 645,000 ล้านบาท) ให้แก่ทางการดูไบ หลังจากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ารัฐบาลดูไบซึ่งมีประวัติการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและเกินตัวต่อเนื่องมานานหลายปี จะไม่สามารถใช้หนี้คืนได้ตามกำหนดในปีนี้
โดยรายงานข่าวระบุว่า อาบู ดาบี และธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บรรลุข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้สินจำนวนดังกล่าวให้กับดูไบ โดยจะมีการขยายระยะเวลาการชำระหนี้ของรัฐบาลดูไบออกไป หลังจากเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าดูไบยังไม่สามารถชำระคืนหนี้สินที่เกิดจากการขอรับความช่วยเหลือฉุกเฉินทางการเงิน เมื่อครั้งที่ดูไบเผชิญวิกฤตทางการเงินเมื่อปี 2009
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลดูไบซึ่งมีประวัติใช้จ่ายเกินตัวต่อเนื่องมาหลายปี มีอันต้องขอรับความช่วยเหลือฉุกเฉินทางการเงินจากเอมิเรตส์เพื่อนบ้านอย่าง อาบู ดาบีเมื่อปี 2009 เป็นวงเงิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 322,500 ล้านบาท) รวมถึงเงินกู้ยืมที่ออกในรูปของพันธบัตรอีก 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ผ่านทางธนาคารกลางของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ข้อตกลงผ่อนผันด้านหนี้สินดังกล่าวระบุว่า ทางอาบูดาบีและธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะยอมขยายเวลาการชำระหนี้สินให้กับดูไบออกไปอีก 5 ปีโดยจะคิดดอกเบี้ยที่อัตราร้อยละ 1 ต่อปี หลังจากที่ทางการดูไบออกมายอมรับว่าไม่สามารถชำระหนี้สิน 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯคืนให้กับธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ทันภายในกำหนด 5 ปี ที่กำลังจะครบใน “สิ้นเดือนมีนาคม” นี้
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า ทางการดูไบก็ไม่สามารถชำระหนี้สินที่เหลืออีก 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับรัฐบาลของอาบูดาบีที่จะครบกำหนดใน “เดือนพฤศจิกายน” นี้เช่นกัน และสถานะทางการเงินการคลังที่ง่อนแง่นของดูไบกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่เจ้าหนี้ทั้งสองรายอย่างรัฐบาลอาบู ดาบี และธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต้องยอมปรับโครงสร้างหนี้และขยายกรอบเวลาการชำระหนี้จำนวนทั้งสิ้น 20,000 ล้านดอลลาร์พร้อมดอกเบี้ยออกไป
อย่างไรก็ดี ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม เจ้าผู้ครองรัฐของดูไบ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ด้วย ออกมาระบุว่ารัฐบาลดูไบจะยังคงเดินหน้านโยบายใช้จ่ายเงินมหาศาลต่อไปโดยอ้างเหตุผลด้านการพัฒนา
“เราขอขอบคุณอาบูดาบี และทางแบงก์ชาติที่ขยายเวลาชำระหนี้ให้กับเรา แต่ข้าพเจ้าขอย้ำว่าดูไบยังจำเป็นต้องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป เราจะไม่หยุดใช้จ่ายเงิน ตราบใดที่ดูไบยังไม่ได้เป็นศูนย์กลางทางการเงิน การค้าและการท่องเที่ยวของภูมิภาค แม้เราจะถูกตราหน้าว่าใช้เงินเกินตัว” ชีคห์ โมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มัคตูม กล่าว
ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เคยออกโรงเตือนดูไบ ให้ยุติการใช้จ่ายเกินตัวในโครงการพัฒนาที่หรูหราฟุ่มเฟือยและไม่ยั่งยืน โดยระบุว่าดูไบอาจเผชิญหายนะทางเศรษฐกิจหากยังไม่ลด-เลิกพฤติกรรมดังกล่าว