เอเอฟพี – แวดวงนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ กำลังขุ่นเคืองใจกับตัวเลขจำนวนนักการทูตระดับสูงที่ได้ตำแหน่งมาเพราะมีอิทธิพลของนักการเมืองเข้าช่วย โดยเฉพาะผู้บริจาครายใหญ่ของประธานาธิบดี บารัค โอบามา ซึ่งได้รับตำแหน่งใหญ่โตในสถานเอกอัครราชทูตทั่วโลก
แม้ว่าการตอบแทนบรรดาผู้บริจาคเงินในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี ด้วยตำแหน่งหัวหน้าคณะผู้แทนทางทูตอาจเป็นเรื่องธรรมดาในสหรัฐฯ แต่ประเทศมหาอำนาจรายอื่นๆ ของโลกไม่ได้ใช้วิธีการนี้
นอกจากนี้ พฤติกรรมเช่นนี้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา หลังจากที่การไต่สวนในวุฒิสภาชี้ว่า มีการสรรหาเอกอัครราชทูตด้วยวิธีไม่ชอบเกิดขึ้นหลายครั้ง ตรงกับที่บรรดานักวิจารณ์ในพรรครีพับลิกัน และสื่อมวลชนเคยถากถางว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติความเป็นทูต
สมาคมกิจการต่างประเทศอเมริกันระบุว่า (เอเอฟเอสเอ) ในบรรดาสมาชิกขององค์การทั้ง 16,400 คน ซึ่งประกอบด้วยนักการทูตที่ยังดำรงตำแหน่ง และที่ปลดเกษียณแล้ว พบว่ามีผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเอกอัครราชทูตด้วยอิทธิพลทางการเมืองได้พุ่งแซงสถิติที่เคยมีมาทั้งหมด ขึ้นไปอยู่ที่ 37 เปอร์เซ็นต์
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ตำแหน่งนักการทูตโดยเฉลี่ย 30 เปอร์เซ็นต์ ได้ตกไปอยู่ในเงื้อมมือบรรดาผู้ใกล้ชิดของประธานาธิบดี ขณะที่อีก 70 เปอร์เซ็นต์ตกเป็นของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในสายการทูตจริงๆ
ที่ร้ายไปกว่านั้น องค์การการทูตซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบการแต่งตั้งนักการทูตทุกตำแหน่งแห่งนี้ชี้ว่า ตัวเลขดังกล่าวได้พุ่งสูงถึง 53 เปอร์เซ็นต์ในช่วงที่โอบามาดำรงตำแหน่งเป็นวาระที่ 2 ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อเดือนมกราคม ปี 2013
ตัวเลขดังกล่าวทิ้งห่างอัตราระหว่าง 27 ถึง 38 เปอร์เซ็นต์ ในสมัยรัฐบาล จอร์ช ดับเบิลยู บุช, บิล คลินตัน, จอร์ช เอช ดับเบิลยู บุช, โรนัลด์ เรแกน, จิมมี คาร์เตอร์ และเจอรัลด์ ฟอร์ด ชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น
“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่บรรดานักการทูตอาชีพต่างกังวลใจเป็นอย่างมาก” โรเบิร์ต ซิลเวอร์แมน ประธานเอเอฟเอสเอกล่าวกับเอเอฟพี
“เราต้องการให้พิจารณากันที่คุณสมบัติ ไม่ใช้อิทธิพลทางการเมือง และการบริจาคเงิน”
อย่างไรก็ตาม องค์การนี้ปฏิเสธไม่ขอยกตัวอย่างกรณีของนักการทูตคนไหนเป็นการเฉพาะเจาะจง แต่ได้ส่งรายชื่อผู้ที่ทำเนียบขาวใช้ “อิทธิพลทางการเมือง” แต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนทางทูต ซึ่งในกลุ่มนี้รวมถึงพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ อย่าง อังกฤษ แคนาดา จีน สหภาพยุโรป เยอรมนี ญี่ปุ่น ซาอุดีอาระเบีย และองค์การสหประชาชาติ