xs
xsm
sm
md
lg

อินโดฯเรียกทูตกลับ-ทบทวนความสัมพันธ์ ฉุุนโดนออสซีดักฟังโทรศัพท์ปธน.และภรรยา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

(แฟ้มภาพ) นายโทนี แอบบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย(ซ้าย) ประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน ของอินโดนีเซีย(ขวา)
เอเอฟพี - อินโดนีเซียในวันจันทร์(18)เรียกเอกอัครราชทูตประจำออสเตรเลียกลับประเทศ ในปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยความโกรธกริ้วต่อรายงานข่าวที่ระบุว่าหน่วยสืบสอดแนมแดนจิงโจ้พยายามลอบดักฟังโทรศัพท์ของประธานาธิบดีประธานาธิบดีซูซิโล บัมบัง ยุโธโยโน เช่นเดียวกับภริยาและคณะรัฐมนตรี

นอกจากนี้แล้วจาการ์ตา ยังได้ประกาศทบทวนความร่วมมือกับแคนเบอร์รา หลังจากเอกสารลับที่เปิดโปงโดยนายเอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน บอกว่าเหล่าบุคคลที่มีความใกล้ชิดกับประธานาธิบดีถูกสอดแนม

ข้อขัดแย้งที่ลุกลามบานปลายครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์อันมึนตึงอยู่ก่อนแล้วระหว่างสองชาติพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ จากข้อกล่าวหาสอดแนมก่อนหน้านี้และแนวทางจัดการกับเหล่าคนลี้ภัยที่มุ่งหน้าไปยังออสเตรเลียโดยใช้อินโดนีเซียเป็นทางผ่าน

"มันไม่มีความเป็นมิตร มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่งดงามเลยระหว่างคู่หูทางยุทธศาสตร์" มาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียบอกกับผู้สื่อข่าว ระหว่างแถลงว่าได้เรียกเอกอัครราชทูตประจำออสเตรเลียกลับมาเพื่อปรึกษาขอความเห็น "มันเป็นสิ่งที่ดูไม่งามเลย มันไม่ใช่วันที่ดีนักในความสัมพันธ์ระหว่างอินโดนีเซียและออสเตรเลีย"

เอกสารลับที่ทางออสเตรเลียน บอร์ดคาสติง คอร์ปอเรชันและหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนได้มา เผยให้เห็นกว่าหน่วยข่าวกรองทางอิเล็กทรอนิกส์ของออสเตรเลียติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆบนโทรศัพท์มือถือของยุโธโยโน เป็นเวลา 15 วันในเดือนสิงหาคม 2009 เมื่อครั้งที่นายเควิน รัดด์ จากพรรคเลเบอร์เป็นนายกรัฐมนตรี

รายงานข่าวระบุว่ารายชื่อเป้าหมายในการสอดแนมยังรวมถึงนางแอนี ภรรยาของยุโธโยโน ซึ่งเพิ่งเดินทางเยือนออสเตรเลียเมื่อสัปดาห์ก่อน อดีตรองประธานธิบดียูซูฟ คัลลา โฆษกรัฐมนตรีกิจการต่างประเทศ รัฐมนตรีความมั่นคงและรัฐมนตรีสื่อสาร

นายนาตาเลกาวา ยอมรับว่าตกตะลึงต่อรายงานข่าวนี้ และรู้สึกว่าสิ่งที่ถูกดักฟังนั้นไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของออสเตรเลียตรงไหน "มันละเมิดเอกสารทางกฎหมายทุกๆอย่างทั้งในอินโดนีเซียและออสเตรเลีย และระดับสากลด้วย" และเมื่อถูกถามว่าเอกอัครราชทูต นัดจิบ ริฟัต เคโซเอมา จะถูกเรียกกลับมานานเท่าใด เขาตอบว่า "ผมให้คำปรึกษากับท่านทูตไปว่า ให้หอบกระเป๋าใบใหญ่ๆกลับมาด้วยเลย"

ด้านนายโทนี แอบบอตต์ นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ปฏิเสธความคิดเห็นต่อคำกล่าวอ้างล่าสุดนี้ระหว่างการแถลงข่าวในรัฐสภา โดยเพียงแต่พูดว่าอินโดนีเซียเป็นคู่หูที่สำคัญ "ผมจะไม่พูดหรือกระทำการใดๆที่อาจทำลายความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งและความร่วมมืออันใกล้ชิดที่เรามีกับอินโดนีเซีย ซึ่งถือว่าเป็นความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญต่อเราอย่างที่สุด"

อย่างไรก็ตามข้อพิพาทต่อการสอดแนมได้พอกพูนแรงกดดันรอบใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างแคนเบอร์รากับจาการ์ตา ซึ่งได้มึนตึงอยู่ก่อนแล้ว สืบเนื่องจากนโยบายของนายแอบบอตต์ ที่ผลักดันเรือของผู้อพยพที่มุ่งหน้าสู่ออสเตรเลียกลับไปยังอินโดนีเซีย และในวันจันทร์(18) นายนาตาเลกาวา บอกด้วยว่าจะมีการทบทวนความร่วมมือทุกระดับระหว่างจาการ์ตากับแคนเบอร์รา ในนั้นรวมไปถึงประเด็นเรือผู้อพยพด้วย

ในหนึ่งในเอกสารลับ ที่ใช้ชื่อว่า "ผลกระทบของ 3จี และการอัปเดต" ทางสำนักข่าวเอบีซีตั้งข้อสังเกตว่ามันดูเหมือนเป็นความพยายามของหน่วยข่าวกรองออสเตรีบที่วางแผนจะตามให้ทันกระแสเทคโนโลยี 3จี ที่เพิ่งเปิดตัวในอินโดนีเซียและทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้ มีการระบุช่องทางต่างๆ ในการดักฟัง ตลอดจนรับรองเสนอแนะช่องทางที่ควรเลือกใช้ และนำไปใช้กับผู้ตกเป็นเป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้คือผู้นำของอินโดนีเซีย

เอกสารล่าสุดของสโนว์เดนชุดนี้ ได้รับการนำออกเผยแพร่ในเวลาไม่กี่สัปดาห์ หลังมีรายงานออกมาว่า สถานเอกอัครราชทูตของออสเตรเลียในประเทศต่างๆ เป็นต้นว่า ในจาการ์ตา รวมทั้งกรุงเทพฯ มีส่วนพัวพันกับเครือข่ายสอดแนมอันกว้างขวางที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งจุดชนวนให้มาร์ตี นาตาเลกาวา รัฐมนตรีต่างประเทศของแดนอิเหนา ออกมาแสดงท่าทีโกรธเกรี้ยว

ภายหลังจากการเปิดโปงครั้งนั้น หนังสือพิมพ์การ์เดียนยังรายงานเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาว่า ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ ได้เพิ่มการจับมือกันดำเนินปฏิบัติการสอดแนมประเทศเพื่อนบ้าน อย่างอินโดนีเซีย ในช่วงการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ขององค์การสหประชาชาติ เมื่อปี 2007 ที่เกาะบาหลีด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น