เอเจนซีส์ - รัสเซียเร่งตรวจสอบเมื่อวันจันทร์ (18 พ.ย.) เพื่อหาสาเหตุที่เครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 737 ของสายการบินท้องถิ่น ตกขณะพยายามลงจอดในวันอาทิตย์ (17) ส่งผลให้ผู้โดยสารและลูกเรือ 50 คนเสียชีวิตทั้งลำ และตอกย้ำสถิติความปลอดภัยที่ย่ำแย่ของสายการบินภายในแดนหมีขาว โดยการสอบสวนมุ่งประเด็นที่ความบกพร่องของเครื่องบินลำนี้ซึ่งใช้งานมานานกว่า 20 ปี รวมถึงความผิดพลาดของนักบิน
กระทรวงสถานการณ์ฉุกเฉินของรัสเซียรายงานว่า เครื่องบินโบอิ้ง 737-500 ของสายการบินตาตาร์สถาน แอร์ไลนส์ เกิดตกโหม่งพื้นตอนที่กำลังร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานเมืองคาซาน เมืองหลวงของตาตาร์สถาน ซึ่งเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเองในสหพันธรัฐรัสเซีย ภายหลังเดินทางจากท่าอากาศยานโดโมเดโดโว ของกรุงมอสโกเมื่อคืนวันอาทิตย์ ทำให้ผู้โดยสาร 44 คนและลูกเรืออีก 6 คนเสียชีวิตทั้งหมด
อเล็กซานเดอร์ โปลตินิน ประธานคณะกรรมการการสอบสวนด้านการขนส่งของเขตโวลกา ซึ่งครอบคลุมตาตาร์สถาน ระบุว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุคราวนี้อาจจะมาจากความผิดพลาดในการควบคุมเครื่องของนักบิน หรือจากความผิดพลาดด้านเทคนิค ซึ่งรวมถึงความบกพร่องของอุปกรณ์ พร้อมกันนั้น เขายืนยันว่า เครื่องบินลำนี้ตกขณะพยายามลงจอดครั้งที่ 2 และว่า เจ้าหน้าที่จะพยายามหาสาเหตุที่นักบินไม่ลงจอดในครั้งแรกทั้งที่สภาพอากาศเอื้ออำนวย
ทางด้านสถานีโทรทัศน์ของทางการรัสเซียรายงานว่า เครื่องบินตกลงสู่พื้นห่างจากรันเวย์หลักราว 150 เมตรโดยไม่ทราบสาเหตุ ขณะที่ภาพจากกล้องวิดีโอรักษาความปลอดภัยของทางสนามบินแสดงให้เห็นว่าเครื่องถลาลงมาในอาการแทบเป็นการดำดิ่ง และพอกระแทกพื้นแล้วก็ระเบิดกลายเป็นลูกไฟใหญ่มหึมา รายงานของทีวีทางการรัสเซียยังบอกว่า แรงระเบิดและไฟไหม้ทำให้ซากเครื่องกระจายเป็นวงกว้างในรัศมีหลายร้อยเมตรและลำตัวเครื่องเสียหายหนัก
โปลตินิน ก็อธิบายว่าเครื่องบินอยู่ในอาการสูญเสียความสูงอย่างรวดเร็ว แล้วพอปะทะพื้น ถังเชื้อเพลิงก็ระเบิดและไฟลุกท่วม จนต้องใช้เวลาอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะดับลงได้
สถานีทีวีของรัฐยังรายงานโดยอ้างอิงคำบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ควบคุมจราจรทางอากาศผู้หนึ่งของสนามบินที่บอกว่า ได้พูดคุยกับนักบินหลังจากที่นักบินยกเลิกการลงจอดครั้งแรก และได้รับการบอกเล่าว่า เครื่องบินอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถนำลงจอดได้
ในเวลาต่อมาของวันจันทร์ สำนักข่าวของรัสเซียรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบกล่องดำของเครื่องบินทั้ง 2 กล่องแล้ว
เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นของตาตาร์สถาน แอร์ไลนส์ ซึ่งเป็นสายการบินภายในประเทศที่ให้บริการบริเวณตอนกลางของรัสเซีย ทั้งนี้เครื่องบินลำนี้ใช้งานมาแล้ว 23 ปี และตาตาร์สถานเป็นเจ้าของรายที่ 7
เมื่อปี 2001 ขณะถูกใช้งานโดยสายการบินริโอ ซัล ของบราซิล เครื่องบินลำนี้ประสบอุบัติเหตุรุนแรงระหว่างลงจอดในบราซิล ซึ่งแม้ไม่มีผู้เสียชีวิต แต่ต้องเข้ารับการซ่อมแซมขนานใหญ่
ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เครื่องบินลำนี้ต้องลงจอดฉุกเฉินในคาซาน หลังจากเพิ่งเหินขึ้นจากรันเวย์ เนื่องจากระบบข้อมูลขัดข้อง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
สำหรับครั้งนี้ สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานโดยอ้างการเปิดเผยจากสายการบินว่า เครื่องบินไม่มีปัญหาทางเทคนิคใดๆ ก่อนบิน อีกทั้งยังทำการซ่อมบำรุงและแก้ไขปัญหาระหว่างเที่ยวบินตามปกติ ขณะที่นักบินทั้งคู่ที่มีอายุ 47 ปี ต่างเป็นนักบินที่มีประสบการณ์สูง
นายกรัฐมนตรีดมิตริ เมดเวเดฟ ของรัสเซีย เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “โศกนาฏกรรมที่น่าสะพรึงขวัญ” พร้อมแสดงความเสียใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิตผ่านทวิตเตอร์ในวันจันทร์
ด้านบริษัทโบอิ้งไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับอุบัติเหตุนี้ แต่ออกคำแถลงแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้สูญเสีย และบอกว่า บริษัทเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคแก่เจ้าหน้าที่สอบสวน
เมืองคาซาน อยู่ห่างจากมอสโกไปทางตะวันออก 800 กิโลเมตร ขณะที่ตาตาร์สถาน เป็นรัฐที่อุดมด้วยน้ำมันและประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม สำหรับสนามบินที่เกิดเหตุ ได้มีการสร้างรันเวย์ใหม่เพื่อรองรับกีฬามหาวิทยาลัยโลกที่จัดขึ้นเมื่อต้นปีนี้
จากรายชื่อผู้โดยสารที่ได้รับการยืนยันจากรัฐบาลท้องถิ่น ปรากฏว่า อีเรค มินนิคานอฟ บุตรชายของผู้ว่าการสาธารณรัฐตาตาร์ร์สถาน และ อเล็กซานเดอร์ อันโตนอฟ ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงกลาง (เอฟเอสบี)ประจำภูมิภาค ต่างเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และเหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย โดยมีชาวต่างชาติปะปนอยู่เพียง 2 คน เป็นชาวอังกฤษ 1 คน กับชาวยูเครนอีก 1 คน
สมาคมการขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (ไออาตา) ระบุว่า รัสเซียและพวกประเทศที่เป็นอดีตสาธารณรัฐของสหภาพโซเวียต ร่วมกันครองสถิติความปลอดภัยในการเดินทางทางอากาศแย่ที่สุดในโลกในปี 2011 แม้ว่าโดยภาพรวมแล้วอุตสาหกรรมสายการบินโลกจะมีความปลอดภัยมากขึ้นก็ตาม
อุบัติเหตุร้ายแรงที่สุดก่อนครั้งนี้ในรัสเซีย เกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2012 เมื่อเครื่องบินโดยสารตกหลังจากขึ้นจากสนามบินตูย์เมน ในไซบีเรียไม่นาน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 33 คน