เอเจนซีส์/เอพี - อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลNSA เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนได้เผยผ่านการสัมภาษณ์พิเศษของหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ เมื่อวานนี้(17)ว่า เขาไม่ได้นำเอกสารลับของหน่วยงาน NSA เข้ารัสเซีย และยืนยันว่าสายลับจีนและรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลพวกนี้ได้ ในขณะที่หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนเผยว่า สโนว์เดนเลือกที่จะเปิดเผยความลับโครงการแดรกเนต (Dragnet) ของ NSA กับสื่อมากกว่าที่จะร้องเรียนตามขั้นตอนของการตรวจสอบภายในของรัฐบาลสหรัฐฯ โดยอ้างว่า “กลัวถูกสหรัฐฯทำลายและความลับที่ต้องการเปิดเผยจะโดนฝังไปพร้อมกัน”
ในการสัมภาษณ์พิเศษของอดีตนักวิเคราะห์ข้อมูล เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนให้กับหนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทม์ ที่ลงทางออนไลน์เมื่อวันพฤหัสบดี(17)เผยว่า เขาได้ส่งมอบเอกสารความลับให้กับนักข่าวในระหว่างที่เขาพำนักอยู่ในฮ่องกง โดยสโนว์เดนยืนยันว่าไม่มีสำเนาของเอกสารความลับพวกนี้ติดตัวมาที่รัสเซียแต่อย่างใดเพราะ “มันไม่ทำให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก” อ้างจากไทม์ และนอกจากนี้ สโนว์เดนยังอ้างว่า เป็นเพราะเขามีความคุ้นเคยกับแทคติกที่สายลับจีนใช้ จึงทำให้สามารถที่จะป้องกันไม่ให้เอกสารชั้นความลับสุดยอดของสหรัฐฯนั้นตกไปอยู่ในมือสายลับจีนได้ในช่วงระหว่างที่เขาอยู่ในฮ่องกง “ความเป็นไปได้ 0% ที่รัสเซียหรือจีนจะเข้าถึงเอกสารพวกนี้” สโนว์เดนกล่าว โดยในระหว่างที่เขายังทำงานอยู่กับ NSA นั้น สโนว์เดนเคยมีปฎิบัติการที่มีจีนเป็นเป้าหมาย อีกทั้งเขายังเคยสอนหลักสูตรต่อต้านก่อการร้ายของจีนอีกด้วย
ซึ่งการเปิดเผยถึงเอกสารลับในครั้งนี้ของสโนว์เดนมีขึ้นเพื่อต้องการโต้แย้งต่อข้อกล่าวหาที่สหรัฐฯพยายามกล่าวว่า การที่เขามีเอกสารของสหรัฐฯอยู่ในมืออาจมีความเสี่ยงสูงที่จะตกไปอยู่ในมือรัสเซียหรือจีนได้ ซึ่งสโนว์เดนได้เอ่ยถึงรายชื่อนักข่าวที่ได้ให้ข้อมูลชั้นความลับของNSAที่เก็บไว้ในรูปแบบดิจิตอล คือ เกลนน์ กรีนวาล์ด อดีตนักข่าวเดอะการ์เดียน และ อีเวน แมคาสกิล นักข่าวเดอะการ์เดียน รวมถึงผู้กำกับภาพยนต์อิสระ ลอรา ปอยทราส
นอกจากนี้สื่ออังกฤษ เดอะการ์เดียนที่เผยว่า อดีตนักวิเคราะห์ข้อมูลNSA วัย 30 ปีผู้นี้เลือกที่จะเปิดเผยความลับโครงการความมั่นคงสหรัฐฯกับสื่อมากกว่าที่เขาจะนำเรื่องร้องเรียนเพื่อการตรวจสอบภายในของรัฐบาลสหรัฐฯ ตามที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้โจมตีสโนว์เดนว่า เขาควรเลือกที่ยื่นคำร้องเพื่อให้มีการตรวจสอบภายในได้มากกว่าที่จะบินไปฮ่องกงและได้เปิดเผยความลับสุดยอดของสหรัฐฯ เช่น โครงการแดรกเนต (Dragnet) ให้กับสื่ออังกฤษ และสื่อฉบับอื่นๆนำมาเปิดเผยต่อชาวโลก และเหตุที่เขาไม่เลือกทางนี้ตามที่ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์เป็นเพราะ “มันเป็นไปไม่ได้”
โดยเขากล่าวว่า “ระบบมันไม่ทำงาน” ซึ่งสโนว์เดนได้ให้เหตุผลว่า “คุณต้องการรายงานสิ่งผิดพลาดกับกลุ่มคนที่มีความรับผิดชอบในเรื่องนั้น และถ้ายังพยายามดึงดันที่จะร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาถึงสิ่งผิดพลาดที่พบ คนที่เริ่มร้องเรียนจะโดนเพ่งเล็ง รวมถึงถูกทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือไป และถูกทำลายในที่สุด และสิ่งที่เขาต้องการร้องเรียนจะถูกฝังตลอดไป” โดยเขาอ้างถึงประสบการณ์ในการร้องเรียนข้อผิดพลาด และในที่สุดต้องถูกผู้บังคับบัญชาออกใบประเมินความประพฤติว่า “มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่จะพยายามแอบจารกรรมเข้าชั้นความลับที่ไม่ได้รับอนุญาต” ตามที่หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ได้นำเสนอในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยสโนว์เดนได้โต้ว่า เหตุการณ์นี้เกิดช่วงปี 2008-2009 ในขณะที่เขาทำงานอยู่กับCIAที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่วิเคราะหข้อมูลการสื่อสาร ซึ่งเขาได้พบว่าโปรแกรมข้อมูลของCIAมีช่องโหว่ และได้แจ้งไปยังผู้บังคับบัญชา แต่ทว่าเขากลับถูกเตือนว่า “อย่าพยายามทำให้เรือทั้งลำให้โคลง” แต่ในที่สุดผู้บังคับบัญชาอนุญาตให้เขาทดสอบเพื่อหารูรั่วของระบบ ซึ่งเขาทำสำเร็จ และผู้บังคับบัญชาได้แจ้งเรื่องไปตามระบบ แต่ทว่าผู้บังคับบัญชาที่ตำแหน่งลำดับสูงกว่าในองค์กรไม่พอใจอย่างมาก และได้เขียนออกใบประเมินความประพฤติให้กับตัวเขาในที่สุด ดังนั้นสโนว์เดนจึงสรุปว่า การที่นำเรื่องร้องเรียนภายในองค์กรมีแต่ทำให้ถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตามสโนว์เดนยืนยันว่า เขาช่วยปกป้องความมั่นคงของสหรัฐฯโดยการเตือนให้สังคมรู้ถึงขอบเขตของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯที่ออกปฎิบัติการ การที่ความลับของโครงการล้วงข้อมุลของNSA ถ้าถุกปิดบังไว้ต่อไปมันจะนำผลร้ายที่ใหญ่หลวงมามากกว่าผลที่ตามมาหากมันถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ