เอเจนซีส์ - สื่อสหรัฐฯ เช่น บิสซิเนสวีก รายงานล่าสุดว่า เจรามี สแคฮิล ผู้สื่อข่าวแนวสืบสวนเชิงลึกได้เผยที่บราซิลว่า ทั้งสแคฮิลและผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ ที่รายงานข่าวสโนว์เดนเป็นคนแรก ของโลก เกลนน์ กรีนวาล์ด กำลังทำงานชิ้นสำคัญร่วมกันในหัวข้อ “หน่วยงาน NSA นั้นเป็นศูนย์กลางของโครงการลอบสังหารของรัฐบาลอเมริกาได้อย่างไร” ซึ่งการ “เกริ่นล่วงหน้า” ของสแคฮิลนี้ต้องการให้สังคมโลกรับรู้ถึงสิ่งที่สหรัฐฯได้ทำ ทั้งเขาและกรีนวาล์หวังว่ารายงานที่พวกเขากำลังทำร่วมกันและจะเผยแพร่ออกมาจะช่วยทำให้สหรัฐฯเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย
ดูเหมือนว่าแหล่งข้อมูลที่ เจรามี สแคฮิล และ เกลนน์ กรีนวาล์ด กำลังทำงานร่วมกันอยู่ในขณะนี้ภายใต้หัวข้อ “หน่วยงาน NSA เป็นศูนย์กลางของโครงการลอบสังหารของรัฐบาลอเมริกาได้อย่างไร” จะมีที่มาจากเอกสารของ NSA หน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ โดยที่เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดนอดีตเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลเป็นผู้นำออกมาเปิดเผยให้กรีนวาล์ดและนักข่าวคนอื่น
ก่อนหน้านั้น ได้มีรายงานออกมาบ้างเกี่ยวกับ NSA และมีส่วนเชื่อมโยงกับการลอบสังหาร หรือการจับตัว โดยในปี 2010 ที่มีรายงาน “Top secret America” จัดทำโดย ดานา พริสต์ และวิล อาร์คิน ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ออกมา มีเนื้อหาว่า หน่วยงานNSAได้ประสานงานกับทีมล่าสังหารของปฎิบัติการหน่วย JSOC หรือ Joint Special Operations Command ในปฎิบัติการที่อิรัก เช่นทางหน่วยเรียนรู้การจับสัญญาณอิเล็คทรอนิคทุกจุดในอิรัก เป็นต้น “เราได้ออกภาคสนาม” ผู้บัญชาระดับสูงของหน่วย JSOC เผยกับหนังสือพิมพ์โพสต์
และในปี 2011 สเปนเซอร์ อักเคอร์แมน แห่งสื่อ Wired รายงานว่า NSA นั้นได้สร้างระบบที่เรียกว่า “The real time regional gateway” ขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ในการแชร์ข้อมูลข่าวกรองเพื่อประโยชน์สำหรับการบุกจู่โจมและการสอบปากคำภายในเครือข่ายหน่วย JSOC
นอกจากนี้ ในหนังสือติดอันดับเดอะเบสเซลเลอร์ของสแคฮิลชื่อ “Dirty wars : The World Is A Battlefield” เขาได้อธิบายว่า JSOCทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับหน่วยงานข่าวกรอง 2 แห่งที่จะช่วยให้ข้อมูลแบบ “real time” ในการล่าสังหารทั่วโลก
และพบว่าหน่วยข่าวกรองของกองทัพสหรัฐฯ USAISA หรือ United States Army Intelligence Support Activity (อาทิเช่น การปฎิบัติการต่างๆภายใต้ชื่อ เช่น “Activity”) และ การข่าวของ JSOC นั้นต่างเชี่ยวชาญในการจารกรรมและมอนิเตอร์ข้อมูลอิเล็คทรอนิกส์
ในปี2002 รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โดนัลด์ รัมสเฟลด์ ได้ก่อตั้งหน่วย SSB หรือ Strategic Support Branch ซึ่งเป็นหน่วยงานเสริมปฎิบัติการทางจรยุทธ รวมถึง “ทีมปฏิบัติการลับใหม่” ที่ตั้งขึ้นสำหรับ “เจ้าหน้าที่คดี นักภาษาศาสตร์ นักสอบสวน และนักเทคนิคสาขาต่างๆ ที่ปฎิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่จากJSOC
ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดข้างต้นจะปฎิบัติงานภายใต้ระบบของ JSOC “ที่มีปฎิบัติการออกมา และเป็นระยะๆจะพบว่าการข่าวของหน่วยนั้นจะไม่ได้ถูกบุคคลภายนอกระบบJSOCตรวจ” โดยสแคฮิลเขียนในหนังสือเบสเซลเลอร์ของเขาวว่า “การให้ความสำคัญของJSOC คือการพยามจัดการกับเป้าหมายให้ได้” และหน่วย NSA นั้นทำให้คนเป็นจำนวนมากเสียชีวิต ซึ่งผู้เสียชีวิตบางคนอาจจะเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ซึ่งจากวิกฤตการคลังล่าสุด ผลปรากฏว่าหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ เช่น NSA ไม่ได้รับผลกระทบอะไรทั้งสิ้น
“เมื่อคุณเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบ และได้ข้อมูลลับมา...และ (เกิดปฏิบัติการลับขึ้น) ที่สังหารชีวิตไปราว 27 ราย 30 ราย หรือ 40 ราย และทีมปฎิบัติการได้จับกุมตัวคนราว 7 คน หรือ 8 คน” พันเอกลอว์เรนซ์ วิลเคอร์สัน (Ret.) แห่งกองทัพบกสหรัฐฯ ที่ทำหน้าที่เป็นเลขาให้กับหัวหน้าคณะทำงานของรัมสเฟลด์ในปี 2002-2005 ได้เผยกับสแคฮิลว่า “ในที่สุดคุณจะได้รู้ว่าการข่าวมันเลวร้าย และคุณได้สังหารชีวิตของคนบริสุทธิ์เป็นจำนวนมากด้วยมือของคุณเอง และคุณก็มีคนอีกจำนวนมากที่คุณจับมาได้ และต้องขังพวกเขาไว้ในเรือนจำอ่าวกวนตานาโม ไม่เคยมีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้”
เรื่องที่สแคฮิลได้เผยที่บราซิลนั้นชี้ให้เห็นว่า โปรเจกต์ที่เขากำลังทำร่วมกับกรีนวาล์ดอยู่ในขณะนี้นั้น รวมไปถึงข้อมูลที่เจาะลึกของหน่วยงาน NSA ในฐานะที่หน่วยงานนี้เป็นศูนย์กลางของปฎิบัติการ JSOC และหลังจากรายงานข่าวเชิงวิเคราะห์ของคนทั้งคู่ได้ถูกตีพิมพ์แล้ว เขาทั้งคู่หวังว่าจะกระตุ้นให้สหรัฐฯเปลี่ยนนโยบายของประเทศ