เอเจนซีส์ - ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรีย ยืนยันขณะให้สัมภาษณ์ทีวีอเมริกัน ว่าจะส่งมอบคลังอาวุธเคมีให้อยู่ในความรับผิดชอบของนานาชาติ แต่ติงว่าขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปี และมีค่าใช้จ่ายถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ พร้อมฝากถึงประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ ให้ฟัง “สามัญสำนึก” ของชาวอเมริกัน เกี่ยวกับปฏิบัติการทางทหาร ส่วนในอีกด้านหนึ่ง คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็นมีกำหนดเผชิญด่านทดสอบแรกวันเสาร์นี้ (21) ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่ดามัสกัสจะต้องเปิดเผยข้อมูลสถานที่จัดเก็บอาวุธเคมี
อัสซาด เต็มไปด้วยท่าทีมั่นใจระหว่างให้สัมภาษณ์เครือข่ายโทรทัศน์ “ฟ็อกซ์” ของอเมริกา ที่นำออกอากาศในวันพุธ (18 ก.ย.) โดยเขายืนยันว่า กองกำลังของรัฐบาลซีเรียไม่ได้อยู่เบื้องหลังการโจมตีชานกรุงดามัสกัสด้วยอาวุธเคมีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ที่ทำให้พลเรือนหลายร้อยคนล้มตาย และซีเรียได้ส่งมอบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า พวกกบฏซึ่งเขาเรียกว่า “กลุ่มก่อการร้าย” ต่างหากเป็นฝ่ายใช้แก๊สซาริน ไปให้แก่ฝ่ายรัสเซียแล้ว นอกจากนี้ มอสโกยังมีภาพถ่ายดาวเทียมยืนยันว่า จรวดที่โจมตีในเหตุการณ์ดังกล่าวมาจากพื้นที่ซึ่งกลุ่มกบฏยึดครอง
อัสซาดสำทับว่า แก๊สซารินสามารถผลิตได้อย่างง่ายดายภายในครัวเรือน นอกจากนี้กลุ่มกบฏอาจเข้าถึงแก๊สนี้จากความช่วยเหลือของรัฐบาลต่างชาติที่ให้การหนุนหลังอยู่
การให้สัมภาษณ์ครั้งนี้นับเป็นการให้สัมภาษณ์เครือข่ายทีวีอเมริกันครั้งที่ 2 และเป็นการพบปะกับผู้สื่อข่าวตะวันตกหนึ่งในหลายๆ ครั้งของอัสซาด เพื่อตอบโต้แรงกดดันทางการเมืองจากมหาอำนาจตะวันตกที่นำโดยประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งกล่าวหาว่า รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน และต้องการลงโทษด้วยปฏิบัติการทางทหาร
ทว่า ความที่รัฐสภาอเมริกัน รวมถึงชาติตะวันตกอื่นๆ ไม่ต้องการร่วมผจญภัยทางการทหารในตะวันออกกลางอีก รัสเซียจึงฉวยโอกาสเสนอทางออกทางการทูต ซึ่งทำเนียบขาวเออออด้วยทันที และร่วมกันร่างแผนการปลดอาวุธเคมีซีเรียออกมา
อัสซาดยืนยันให้ความร่วมมือเต็มที่ แต่สำทับว่า ไม่ได้จำใจทำเพราะกลัวคำขู่โจมตีของวอชิงตัน
ผู้นำซีเรียเสริมว่า การดำเนินการดังกล่าวมีความซับซ้อนทางเทคนิค ทำให้อาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีและมีค่าใช้จ่ายถึง 1,000 ล้านดอลลาร์
ต่อข้อถามว่า เหตุใดจึงต้องใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ลุกขึ้นมาประท้วงอันนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อถึง 2 ปีครึ่งในขณะนี้ และผู้คนล้มตายราว 110,000 คน อัสซาดยืนยันว่า ซีเรียเป็นเหยื่อการก่อการร้าย
“เราไม่ได้อยู่ในสงครามกลางเมือง แต่เป็นสงครามรูปแบบใหม่” อัสซาดยังกล่าวหาว่า ขณะนี้มีกองโจรมุสลิมจากกว่า 80 ประเทศเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ และ 80-90% ของผู้ก่อการร้ายใต้ดินคือสมาชิกอัลกออิดะห์ และเครือข่ายย่อย ขณะที่ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งบ่งชี้ว่า สมาชิกกลุ่มกบฏซีเรีย 30,000 จากราว 100,000 คนเป็นพวกหัวรุนแรง
อัสซาดยอมรับว่า ตอนที่ประชาชนเริ่มประท้วง กลุ่มกบฏยังไม่มีนักรบมุสลิม แต่นับจากปลายปีที่แล้ว มุสลิมหัวรุนแรงกลับกลายเป็นสมาชิกส่วนใหญ่ในกลุ่มกบฏ และว่า ประชาชนและทหารซีเรียนับหมื่นถูกสังหารจากการโจมตี การลอบสังหาร และระเบิดฆ่าตัวตายของผู้ก่อการร้ายเป็นส่วนใหญ่
ผู้นำซีเรียยังบอกอีกว่า ไม่เคยพูดคุยกับโอบามา แต่ถ้าจะให้ฝากข้อความถึง เขาอยากบอกว่า ประมุขทำเนียบขาวควรทำตาม “สามัญสำนึก” ของคนอเมริกันที่ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้กำลังกับซีเรีย
ขณะที่อัสซาดตอบโต้ข้อกล่าวหาผ่านสื่อนั้น มหาอำนาจ 5 ชาติที่เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) หารือกันรอบใหม่เกี่ยวกับร่างมติสนับสนุนแผนการปลดอาวุธเคมีซีเรีย ซึ่งตะวันตกอาจผลักดันให้มีการลงมติช่วงสุดสัปดาห์นี้ หากมอสโกยินยอม
อย่างไรก็ดี ไม่มีข้อสรุปใดๆ ภายหลังการถกนาน 2 ชั่วโมง นอกจากนั้น แผนการปลดอาวุธจะเจอด่านทดสอบครั้งแรกในวันเสาร์นี้ ซึ่งครบกำหนดเส้นตาย 1 สัปดาห์ที่มอสโกและวอชิงตันร่วมกันกำหนดว่า อัสซาดจะต้องส่งข้อมูลสถานที่จัดเก็บอาวุธเคมี
อังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกานั้นกำลังเตรียมร่างมติที่อ้างอิงบทบัญญัติที่ 7 ภายใต้กฎบัตรยูเอ็น ทว่า จะไม่ระบุชัดเจนถึงการใช้กำลังหรือการคว่ำบาตร ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะให้ร่างมตินี้ผ่านออกมาได้ เพื่อให้แผนการปลดอาวุธเคมีซีเรียมีผลผูกพันภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ