เอเอฟพี/เอเจนซีส์ – สหรัฐฯ เตรียมยึดตึกสูงระฟ้าแห่งหนึ่งใจกลางเขตแมนฮัตตันของมหานครนิวยอร์ก ซึ่งอัยการชี้ว่าเป็นทรัพย์สินลับๆ ของรัฐบาลอิหร่าน กระทรวงยุติธรรมระบุในคำแถลงวานนี้ (17 ก.ย.)
การยึดทรัพย์และขายทอดตลาดตึก 36 ชั้นแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนฟิฟท์อเวนิว ใจกลางมหานครนิวยอร์กจะกลายเป็น “การริบทรัพย์ที่เชื่อมโยงกับแผนก่อการร้ายครั้งใหญ่ที่สุด” คำแถลงดังกล่าวระบุ
ในสัปดาห์นี้ แคทเธอรีน ฟอร์เรสต์ ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสหรัฐฯ พิพากษาเห็นชอบตามคำฟ้องร้องคดีของรัฐบาล โดยระบุว่าเจ้าของตึกระฟ้าแห่งนี้มีความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และกฎหมายฟอกเงิน
พรีต บารารา อัยการสหรัฐฯ ประจำเขตแมนฮัตตันกล่าวว่า คำตัดสินเช่นนี้ของศาลเป็นการสนับสนุนคำกล่าวของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งระบุว่า เจ้าของตึกแห่งนี้ “เคยเป็น (และยังเป็น) บุคคลสำคัญคนหนึ่งในธนาคารเมลลี ดังนั้นเขาจึงเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของรัฐบาลอิหร่าน” ทั้งนี้ เนื่องจากธนาคารเมลลีอยู่ภายใต้การดำเนินงานของทางการอิหร่าน
บารารากล่าวว่า เงินทุนที่ได้จากการขายทอดตลาดตึกนี้จะนำไป “ชดเชยค่าเสียหายให้ผู้ตกเป็นเหยื่อในการก่อการร้ายที่มีอิหร่านเป็นผู้หนุนหลัง”
อัยการตั้งข้อกล่าวหามูลนิธิอะลาวี และบริษัท อัสซาคอร์เปอเรชัน องค์การที่เป็นเจ้าของตึกนี้ว่า ได้ยักย้ายถ่ายเทรายได้ที่มาจากการให้เช่าตึก และเงินในกองทุนอื่นๆ เข้าแบงก์เมลลี
นอกจากนี้ คำแถลงยังระบุด้วยว่า มูลนิธิอะลาวีดำเนินการองค์การการกุศลแห่งหนึ่งให้อิหร่าน และบริหารจัดการตึกนี้ให้รัฐบาลอิหร่าน
ทั้งนี้อัยการตั้งข้อกล่าวหาว่า ตึกซึ่งสร้างขึ้นในปี 1970 โดยมูลนิธิปาห์ลาวี องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรแห่งหนึ่งของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี และมีธนาคารเมลลี คอยสนับสนุนด้านเงินกู้แห่งนี้ ได้ตกเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลชุดใหม่ของอิหร่าน ภายหลังการปฏิวัติอิสลามเมื่อปี 1979
พวกเขาระบุว่า ต่อมามูลนิธิปาห์ลาวี ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นมูลนิธิมอสตาซาฟานออฟนิวยอร์ก และจากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อเป็นมูลนิธิอะลาวี
เมื่อปี 2009 อดีตประธานของมูลนิธิอะลาวี ได้รับสารภาพผิดว่า ได้ขัดขวางกระบวนการยุติธรรมด้วยการทำลายหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งมีการยื่นฟ้องต่อศาลในปี 2008
อย่างไรก็ตาม ภายหลังคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในสัปดาห์นี้ มูลนิธิอะลาวี กล่าวว่าวางแผนจะยื่นอุทธรณ์ โดยระบุในคำแถลงที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของมูลนิธิว่ารู้สึก “ผิดหวัง” กับคำพิพากษาของศาล และกล่าวว่า “พวกเขาไม่มีโอกาสโต้แย้งหลักฐานของรัฐบาลต่อหน้าลูกขุน”
กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ กำลังใช้มาตรการลงโทษอิหร่านอย่างกวดขัน ด้วยการขึ้นชื่อบริษัทและองค์การของอิหร่านหลายแห่งไว้ในบัญชีดำ และได้ดำเนินมาตรการเข้มงวดมากเพื่อควบคุมไม่ให้กลุ่มหรือธุรกิจใดๆ สามารถยักย้ายถ่ายเทเงินทุนเข้าอิหร่าน
ทั้งนี้ การที่สหรัฐฯ ใช้มาตรการเหล่านี้ ก็เพื่อมุ่งกดดันรัฐบาลอิหร่านให้ยกเลิกแผนการที่ชาติตะวันตกกล่าวหาว่าเป็นโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์