รอยเตอร์ – ความพยายามของประธานาธิบดีบารัค โอบามาที่จะโน้มน้าวให้รัฐสภาอเมริกันสนับสนุนแผนการโจมตีซีเรียของเขา กำลังเป็นที่กังขาของสมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรคเดโมแครตของเขาเองเมื่อวานนี้ (2 ก.ย.) โดยพวกเขาแสดงความกังวลว่าสหรัฐฯ จะถูกลากเข้าไปในสมรภูมิการสู้รบอีกแห่งหนึ่งในตะวันออกกลาง
“พวกสมาชิกมีความสงสัยข้องใจกันมาก” ส.ส.จิม มอร์แกน กล่าวภายหลังที่เขาเข้าร่วมรับฟังการบรรยายสรุปทางโทรศัพท์แก่สมาชิกรัฐสภาพรรคเดโมแครต โดยทีมผู้ช่วยด้านความมั่นคงแห่งชาติของโอบามา เกี่ยวกับการตอบโต้ต่อการใช้อาวุธเคมี ซึ่งทางการสหรัฐฯ ระบุว่าทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,429 รายในแถบชานเมืองดามัสกัส
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าโอบามาจะทำงานมีความคืบหน้าอยู่เหมือนกัน โดยที่จอห์น แมคเคน และลินด์ซีย์ เกรแฮม 2 สมาชิกวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน ผู้ทรงอิทธิพล ซึ่งกลับจากการประชุมที่ทำเนียบขาวได้เน้นย้ำว่า โอบามาไม่เพียงแต่วางแผนใช้การโจมตีทางอากาศเพื่อทำลายศักยภาพอาวุธเคมีของซีเรียเท่านั้น แต่เขาตั้งใจจะสนับสนุนกลุ่มกบฏอีกด้วย
แมคเคน ผู้ที่เรียกร้องให้สหรัฐฯ ใช้ปฏิบัติการโจมตีซีเรียแบบเด็ดขาดจริงจังมานานแล้วกล่าวว่า หากรัฐสภาออกเสียงคัดค้านไม่ยอมให้โจมตีกองทัพของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแล้ว ก็จะทำให้เกิด “มหันตภัยร้ายแรง”
การที่โอบามาตัดสินใจอย่างปุบปับให้ระงับแผนโจมตีกองทัพของอัสซาดเอาไว้ เพื่อรอความเห็นชอบจากรัฐสภาเสียก่อน ได้ก่อให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างดุเดือด ในขณะที่ประธานาธิบดีเตรียมตัวที่จะเดินทางในวันนี้ (3) ไปสวีเดนและรัสเซียเป็นเวลา 3 วัน
อุปสรรคใหญ่หลวงที่สุดที่เขากำลังเผชิญก็คือ เขาจะทำอย่างไรให้ได้รับเสียงสนับสนุนจากพวกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสังกัดพรรคของเขาเอง และพรรครีพับลิกันหัวอนุรักษนิยม ผู้ที่เห็นว่าสหรัฐฯ แทบจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในดินแดนอันห่างไกล
จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในที่คณะที่ปรึกษาของโอบามา ซึ่งเรียกร้องให้พรรคเดโมแครตสนับสนุนโอบามาในร่างมติส่งทหารเข้าโจมตีระบอบการปกครองของอัสซาด โดยระบุว่ากรณีซีเรียนั้นได้มาถึง “ช่วงเวลาแห่งมิวนิค” แล้ว ทั้งนี้ตามข้อมูลของผู้ที่เข้าร่วมการประชุม
คำกล่าวนี้เป็นการอ้างอิงถึงสนธิสัญญามิวนิคปี 1938 ที่อังกฤษกับฝรั่งเศสทำกับเยอรมนียุคนาซี ซึ่งถูกมองว่าเป็นการที่อังกฤษและฝรั่งเศสยอมอ่อนข้อให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง แล้วเป็นการทำให้ผู้นำนาซีผู้นี้ได้ใจ และลงมือรุกคืบต่อไปอีก จนในที่สุดอังกฤษกับฝรั่งเศสก็ประกาศสงครามกับเยอรมนีจนได้
เหตุผลที่ทำเนียบขาวให้ไว้ก็คือ ซีเรียจะต้องถูกลงโทษที่ใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน และกล่าวว่าเป็นการฝ่าฝืนการที่นานาชาติร่วมกันห้ามใช้อาวุธประเภทนี้ และจำเป็นที่จะต้องปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นของสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรอย่างอิสราเอล จอร์แดน และตุรกี
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายซีเรียกล่าวโทษกลุ่มกบฏว่าเป็นผู้ใช้อาวุธเคมีโจมตีประชาชน
หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ซึ่งคณะผู้ตรวจสอบขององค์การสหประชาชาติรวบรวมจากสถานที่เกิดเหตุนั้น ถูกส่งไปที่ห้องทดลองในยุโรปวันนี้ (3) และมีกำหนดที่จะไปถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า คำแถลงของยูเอ็นระบุ
คริส แวน โฮลเลน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาวุโส สังกัดพรรคเดโมแครต ผู้ซึ่งเป็นพันธมิตรของโอบามาในประเด็นปัญหาต่างๆ จำนวนมาก ในคราวนี้ได้ออกมาบ่นว่าร่างมติที่ทำเนียบขาวส่งให้รัฐสภาเพื่อขออำนาจในการใช้กำลังทหารนั้น มีลักษณะเป็นปลายเปิดมากเกินไป และอาจทำให้สหรัฐฯ ต้องถลำลึกลงไปในปัญหาซีเรีย ประเทศที่ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่า 100,000 รายจากเหตุนองเลือดที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี
“ไม่มีการตั้งข้อจำกัดในเรื่องการส่งกำลังทหารอเมริกันภาคพื้นดินเข้าไป ไม่มีการระบุระยะเวลาสิ้นสุดของการให้อำนาจ” ในมติ เขากล่าว “ร่างมติที่เสนอโดยรัฐบาลนี้หละหลวมเกินไป เป็นการมอบอำนาจให้รัฐบาลมากเกินไป”
ด้านเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวระบุว่า พวกเขายินดีที่จะเปลี่ยนแปลงร่างมติที่มอบอำนาจให้ใช้กำลังทหารฉบับดังกล่าว เพื่อที่จะขจัดข้อกังขาที่ทำให้สมาชิกรัฐสภารู้สึกกังวล
เห็นชัดเจนว่าสิ่งที่ครอบงำการโต้เถียงครั้งนี้คือ ภาพหลอนของสงครามในอิรักและอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นการสู้รบที่ยืดเยื้อยาวนานและสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงกว่าที่ได้คาดการณ์เอาไว้ การที่รัฐสภาอเมริกันรู้สึกลังเลนั้นสะท้อนให้เห็นความเข็ดขยาดสงครามของชาวอเมริกัน ผู้ที่ส่วนข้างมากคัดค้านไม่ให้สหรัฐฯ ยุ่งเกี่ยวกับซีเรีย
“สิ่งที่ผมคาดไว้ก็คือ ถ้ามีการลงมติกันในวันพรุ่งนี้ ประธานาธิบดีจะแพ้หรือชนะแบบฉิวเฉียดจนเขาดูแย่” โมแรน จากพรรคเดโมแครตกล่าว
โอบามาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนมากขึ้นจากสมาชิกรัฐสภาหัวเสรีนิยม โดยเฉพาะในสภาล่าง ซึ่งทั้งพวกเสรีนิยมของพรรคเดโมแครต และพวก “ทีปาร์ตี้” ของพรรครีพับลิกันซึ่งหัวอนุรักษนิยมสุดขั้ว ต่างก็คัดค้านไม่ให้สหรัฐฯ มีการปฏิบัติทางทหารในตะวันออกกลางมากไปกว่านี้
แมคเคนและเกรแฮม นั้นเป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ฝ่ายที่ยึดถือธรรมเนียมดั้งเดิมมากกว่า ซึ่งสนับสนุนให้สหรัฐฯ เข้าแทรกแซงต่างชาติเมื่อเห็นว่าจำเป็น ทั้งนี้พวกเขาต้องการยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมกว้างขวางซึ่งนอกจากจะมุ่งลงโทษอัสซาดที่ใช้อาวุธเคมีแล้ว ยังต้องการให้ช่วยเหลือกลุ่มกบฏซีเรียด้วย
ขณะที่ให้สัมภาษณ์นักข่าว แมคเคนและเกรแฮมได้กล่าวเตือนถึงผลกระทบอันร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น หากรัฐสภาอเมริกันไม่สนับสนุนโอบามา ทั้งสองได้กล่าวโทษโอบามาที่ไม่นำประเด็นการเข้าแทรกแซงซีเรียมาถกในรัฐสภาให้เร็วกว่านี้
“ถ้ารัฐสภาคัดค้านมติเช่นนี้ หลังจากที่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้สั่งให้ดำเนินปฏิบัติการไปแล้ว จะก่อให้เกิดมหันตภัยร้ายแรงตามมา” แมคเคนระบุ
เขายังมีความเห็นว่าโอบามาน่าจะกำลังวางแผนที่มีเนื้อหามากกว่าเป็นเพียงการแก้เผ็ด
“เราได้รับฟังเหตุผลบางประการที่ทำให้เชื่อได้ว่า จะมีการจู่โจมทางอากาศอย่างจริงจังมากกว่าทำแบบขู่ๆ” แมคเคนตั้งข้อสังเกต ขณะที่เกรแฮมเสริมว่า “เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่สับสนมาช่วงหนึ่ง”
วันนี้รัฐบาลจะนำหัวเรือใหญ่ 2 คนออกโรงเพื่อพยายามโน้มน้าวใจรัฐสภาอเมริกันในเรื่องซีเรีย โดยทั้งสองคนนี้ คือ เคร์รี และชัค เฮเกล รัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งมีกำหนดที่จะเข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ของวุฒิสภา
คาดหมายกันว่า วุฒิสภาที่เดโมแครตมีเสียงข้างมากจะรับรองร่างมติใช้กำลังทหารเข้าโจมตีซีเรีย ทว่าสำหรับสภาผู้แทนราษฎรนั้นยังไม่เป็นที่ชัดเจน เพราะมีแรงคัดค้านหนักหน่วงกว่าในสภาสูง
เจมส์ แมคโกเวิร์น ส.ส.หัวเสรีนิยม สังกัดพรรคเดโมแครต ระบุว่า เขารู้สึกข้องใจว่าแผนการใช้กำลังทหารโจมตีซีเรียของโอบามานั้นจะสามารถช่วยยุติสงครามซีเรียได้จริงหรือ และถ้าวันนี้จะมีการลงมติ เขาจะออกเสียงคัดค้าน
“ผู้คนต่างรู้สึกหวาดกลัวกับภาพของประชาชนที่ทุกข์ทรมาน และพวกเขาต้องการที่จะช่วยเหลือคนเหล่านั้นจริงๆ แต่สิ่งที่พวกเขาเริ่มรู้สึกยิ่งกว่าอาการขยาดสงคราม ก็คือพวกเขาเริ่มที่จะสงสัยไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของวิธีการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซง” เขาระบุ