เอเอฟพี - ทหารสหรัฐฯ ยศสิบเอก จำเลยในคดีสังหารหมู่ชาวบ้านอัฟกัน 16 ชีวิต ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงและเด็กหลายคน เผชิญหน้ากับบรรดาผู้รอดชีวิตจากเหตุฆาตกรรมหมู่เป็นครั้งแรกขณะขึ้นศาลวานนี้ (20 ส.ค.) ทั้งนี้จากการต่อรองของทนายทำให้เขารอดพ้นโทษประหารชีวิตอย่างแน่นอนแล้ว เพียงแต่ผู้พิพากษาจะพิจารณาว่าเขาต้องถูกจำคุกขั้นต่ำกี่ปีจึงจะมีสิทธิยื่นขอปล่อยตัวโดยมีการคุมประพฤติ
โรเบิร์ต เบลส์ วัย 40 ปี รับสารภาพในศาลเมื่อเดือนมิถุนายนว่า ได้ฆ่าหมู่ชาวบ้านเหล่านี้ซึ่งในกลุ่มเหยื่อมีเด็กถึง 9 คน ตามข้อตกลงซึ่งทนายความของเขาต่อรองมาได้เพื่อแลกกับการรอดพ้นโทษประหารชีวิต
ทว่าผู้รอดชีวิต 7 คนจากพฤติกรรมบ้าคลั่งของทหารผู้นี้ ได้เล่าเหตุการณ์อันสะเทือนขวัญให้ศาลทหารที่รับหน้าที่ระวางโทษตัดสินว่า เบลส์ควรจะได้รับอนุญาตให้ยื่นขอปล่อยตัวโดยมีการคุมประพฤติหลังจากถูกจำคุกอย่างน้อย 20 ปี หรือว่าควรจะต้องถูกจำคุกตลอดชีวิต
ในการขึ้นให้การเป็นพยานอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์สะเทือนใจต่อคณะลูกขุนทหารที่ประกอบด้วยนายทหาร 3 คน และทหารอาวุโสอีก 3 คน เหล่าผู้รอดชีวิตเล่าว่าตนได้ผลกระทบจากบาดแผลฉกรรจ์ ทั้งทางจิตใจและทางร่างกายจากสิ่งที่เบลส์กระทำอย่างไรบ้าง
“ผมคิดว่าผมฝันไป แต่พอตื่นขึ้นมาผมก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่” ซะดิคัวเลาะห์ เด็กชายวัย 12 ปี ผู้ถูกยิงที่หูและคอ เมื่อเบลส์บุกเข้าไปในบ้านของครอบครัวเขาในคืนวันที่ 11 มีนาคม 2012 ภายหลังที่สิบเอกผู้นี้ออกจากค่ายทหารในเขตปัญจวัล ของเมืองกันดาฮาร์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศ หลังจากร่วมวงดื่มสุรากับเพื่อนทหารคนอื่นๆ
โมฮาเหม็ด หะยี นาอีม วัย 60 ปี พ่อของเด็กชายผู้นี้ ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อเล่าถึงเหตุการณ์ฆ่าหมู่ที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องเห็นลูกชายอีกคนถูกยิงตายไปตรงหน้า
นาอีม ซึ่งแต่งกายด้วยชุดประเพณีและให้การด้วยภาษาพาชตู โดยมีล่ามคอยแปล กล่าวว่าเขาเห็นเบลส์กระโดดข้ามกำแพงเข้ามาในเขตบ้านของเขาแล้วเริ่มกราดกระสุน
“ไอ้ชั่วนี่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ผมอยากจะถามว่าผมเคยไปทำอะไรให้มัน มันถึงต้องมายิงผม” นาอีมผู้ที่ถูกยิงที่คอและศีรษะกล่าว
“เส้นประสาทของผมพังไปเลย และตั้งแต่ถูกยิงผมก็พูดติดอ่าง ผมเคยเป็นคนแข็งแรงจนกระทั่งถูกไอ้ชั่วนี่ยิง ตอนนี้ผมแทบไม่เป็นผู้เป็นคนแล้ว” นาอีมบอก ตอนที่เขาออกจากคอกพยานนั้นเขาน้ำตาคลอ
ซามีอุลเลาะ ชาวบ้านอีกคนหนึ่งที่มีอายุราว 30 ปี ให้การว่าครอบครัวของเขาได้รับผลกระทบทางจิตใจอย่างไรหลังจากที่แม่ของเขาถูกฆ่า
“แม่เป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง เหมือนเป็นภูเขาที่คอยค้ำจุนพวกเรา” เขากล่าว
ราฟีอุลลา ลูกชายของเขาที่มีสภาพจิตใจบอบช้ำอย่างแสนสาหัสจากเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้น “เขาตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายว่า ฝันว่ามีคนอเมริกันกำลังไล่ล่าเขาอยู่” ซามีอุลเลาะกล่าว
“ใจคอเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นมา พอเขาตื่นขึ้นมาก็เอาแต่วิ่งกับร้องตะโกน”
ราฟีอุลลา ผู้ที่ถูกเบลส์ยิงขาทั้งสองข้างบอกกับศาลว่าครอบครัวของเขาตื่นขึ้นมากลางดึกในคืนที่เกิดเหตุ
“เรากำลังหลับอยู่แล้วได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เขา (เบลส์) พุ่งพรวดเข้ามาในห้องแล้วเล็งปืนมาที่หัวพี่สาวผม” เด็กหนุ่มวัย 15 ปีกล่าว
พี่สาวของเขาถูกยิงแต่ยังคงรอดชีวิต
“เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาดมาก ทุกคนรักเธอ แต่ตอนนี้พวกเราทั้งหมดเสียใจกับเธอ” เขากล่าว
คาน พยานเด็กอีกคนหนึ่งก็เห็นพ่อของตนเองถูกยิงเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตา
“พ่อผมล้มลงและพวกเราก็ได้แต่มอง” เขากล่าว “ผมไปทำอะไรให้สิบเอกเบลส์เขาถึงมายิงพ่อผม”
ตลอดทั้งการให้การของพยานเมื่อวานนี้ (20) เบลส์ไม่ได้แสดงสีหน้าที่สื่อถึงอารมณ์ใดๆ และเบือนหน้าหนีเมื่อมีการนำภาพของชาวบ้านที่ถูกเขาสังหารมาแสดงในศาล
จากคำให้การระบุว่าเขาดื่มสุราและชมภาพยนตร์กับทหารสหรัฐฯ คนอื่นๆ ที่ค่ายก่อนที่จะก่อเหตุสังหารหมู่คราวนั้น
สิบเอกซึ่งเป็นพ่อลูกสองผู้นี้เคยออกมายอมรับถึง “ความโหดเหี้ยมเลวทราม” ที่เขาเป็นผู้ก่อแต่ก็ไม่ได้แสดงการขอโทษอย่างเป็นทางการในระหว่างการขึ้นเบิกความในศาลครั้งที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม อัยการได้เปิดเครื่องบันทึกเสียงที่มีเสียงของเบลส์ และภรรยาของเขาขณะหัวเราะเมื่อทราบว่าเขาถูกตั้งข้อหาอะไรบ้าง ซึ่งร็อบ สแตล ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของกองทัพระบุว่าสิ่งนี้เน้นย้ำให้เห็นว่าจำเลย “ไม่ได้สำนึกผิด” เลย
พันเอกเจฟฟรีย์ แนนซ์ ผู้พิพากษาในคดีนี้ ได้มีคำตัดสินเมื่อวันจันทร์ (19) ว่าเบลส์จะต้องได้รับโทษจำคุกอย่างน้อย 20 ปีก่อนจึงจะมีคุณสมบัติที่จะยื่นขอปล่อยตัวโดยมีการคุมประพฤติ ขณะที่ จอห์น บราวน์ ทนายความของทหารผู้นี้ ได้กล่าวก่อนหน้านี้ว่าเขาหวังว่าลูกความของเขาจะได้รับอิสระภายหลังรับโทษจำคุก 10 ปี
