‘เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน’กับความรักชาติ
(การเดินทางอันโดดเดี่ยวของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ตอน3)
โดย ปีเตอร์ แวน บูเรน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
The lonely flight of Edward Snowden
By Peter Van Buren
03/07/2013
เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน นั้นไม่เหมือนกับ “ผู้เป่านกหวีด” (ผู้เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในหน่วยงานของตนเอง) คนอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งบางทีก็ไร้เดียงสาถึงกับคาดหมายว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะกระทำการต่างๆ โดยยึดมั่นตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งจะกลับหลังหันเลี้ยวออกมาจากเส้นทางอันมุ่งสู่ความเป็นเผด็จการรวบอำนาจและคืนสู่เส้นทางที่ถูกต้องชอบธรรม แต่สำหรับ “จอมแฉ” ผู้นี้แล้ว เขาทราบดีว่ากลไกความมั่นคงอันใหญ่โตมโหฬารของอเมริกาจะหมุนคว้างพุ่งเข้ามาเล่นงานเขาอย่างสุดกำลัง ในเวลาเดียวกับที่วอชิงตันพยายามที่จะวาดภาพทาสีให้เขาเป็นเพียงพวกอยากดังมุ่งแสวงหาชื่อเสียงส่วนตัว แต่การกระทำเพื่อเปิดเผยให้เห็นสัจจะความจริงของเขา ซึ่งต้องเสียสละชีวิตอันเป็นปกติสุขและกลายเป็นผู้หลบหนีลี้ภัยนั้น กลับบ่งบอกให้เห็นถึงคุณสมบัติของคนที่เป็นวีรบุรุษ มิใช่คนขายชาติ
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 3 ตอน นี่คือตอน 3 ซึ่งเป็นตอนจบ *
(ต่อจากตอน 2)
ผมได้ได้เกลียดชังสหรัฐฯ ...แต่ผมเชื่อว่าสหรัฐฯกำลังหลงทาง
ขณะนั่งในเที่ยวบินออกจากฮ่องกงมุ่งหน้าสู่มอสโกเที่ยวนั้น เอ็ดเวิร์ด สโนว์ดอน นำเอาความรักในอเมริกาของเขาติดตัวไปกับเขาด้วย มันเป็นสิ่งที่พวกเราผู้เป่านักหวีดทุกๆ คนต่างก็มีร่วมกันทั้งนั้น -- ความรักที่ต่อประเทศชาติ ถึงแม้ไม่จำเป็นว่าจะต้องรวมไปถึงรัฐบาลของชาติ, กองทัพของประเทศ, หรือสำนักงานข่าวกรองของประเทศ เข้าไปด้วย พวกเราต่างอนาทรร้อนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราผู้เป็นประชาชนชาวอเมริกัน นี่อาจจะเป็นเสมือนสมอเรือของเขาที่คอยถ่วงให้เขายังสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงระหว่างการเดินทางที่ยังไม่ลงตัวยังเอาแน่ไม่นอนไม่ได้ของเขา และมันก็เป็นเสมือนสมอเรือของผมด้วยเช่นเดียวกัน
จำได้ไหมครับ ถ้าหากเรากำลังทำงานอยู่กับรัฐบาล เหมือนอย่างเป็นลูกจ้างของรัฐบาลกลาง, เป็นทหาร, รวมทั้งเป็นลูกจ้างของพวกผู้รับเหมาทำสัญญากับรัฐบาลจำนวนมากด้วย สิ่งแรกที่สุดก็คือเราจะต้องสาบานตัวโดยกล่าวปฏิญาณตนว่า “ข้าพเจ้าจะสนับสนุนและจะปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯจากศัตรูร้ายทั้งมวล ไม่ว่าจากต่างแดนหรือจากภายใน และข้าพเจ้าจักมีศรัทธาอันแท้จริงและจงรักภักดีต่อสิ่งเดียวกันนี้” เราไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะจงรักภักดีต่อรัฐบาล หรือต่อประธานาธิบดี หรือต่อพรรคการเมือง หากแต่เราให้คำมั่นสัญญาที่จะจงรักภักดีต่อ “ประชาชน” --แหล่งที่มาอันสูงสุดแห่งความถูกต้องชอบธรรมของประเทศชาติของเรา ดังที่รัฐธรรมนูญก็ได้ระบุเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน
ระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง สโนว์เดนบอกว่าเขาเคยรั้งรอยังไม่ดำเนินการเปิดโปงข้อมูลต่างๆ ของเขาเอาไว้ระยะหนึ่ง ด้วยความหวังว่า บารัค โอบามา อาจจะมองเข้าไปในขุมนรกอันเลวร้าย และตัดสินใจที่จะกลายเป็นประธานาธิบดีผู้กล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา ด้วยการหักเลี้ยวหันกลับเส้นทางของประเทศชาติเสียใหม่ ต่อเมื่อเห็นแล้วว่าไม่สามารถรอคอยความกล้าหาญหรือสติปัญญาของโอบามาได้อีกแล้ว นั่นจึงถึงเวลาที่เขากลายเป็นผู้เป่านกหวีด
มีบัณฑิตผู้รู้บางคนระบุว่า สโนว์เดนไม่สมควรได้รับการยกย่องอะไรเลย เพราะเขาไม่ได้ก้าวเดินไปตาม “ช่องทางที่ถูกต้องเหมาะสม” พวกเขาไม่สามารถที่จะโชว์ความผิดพลาดไม่เข้าทาได้มากกว่านี้อีกแล้ว และสโนว์เดนก็ทราบดีในเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเราผู้เป่านกหวีดจำนวนมากมายนักซึ่งกำลังเผชิญกับการกระทำของรัฐบาล ในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ สโนว์เดนจึงตัดสินใจก้าวเดินไปตามช่องทางที่มีความสำคัญมากที่สุด นั่นคือเขาใช้สื่อมวลชนอิสระเพื่อจะได้พูดจาโดยตรงกับเจ้านายที่แท้จริงของเขา ซึ่งได้แก่ประชาชนชาวอเมริกัน
พิจารณาจากแง่มุมนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกกระวนกระวายเกี่ยวกับชีวิตของเขาและอนาคตของเขาอย่างไรก็ตามที เขาจะต้องรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป เขาไม่ได้คิดคดทรยศต่อประเทศชาติของเขา เขาได้ใช้ความพยายามเพื่อที่จะบอกกล่าวให้ประเทศชาติได้รับทราบความเป็นจริงต่างหาก
เหมือนกับกรณีของ แบรดลีย์ แมนนิ่ง พวกเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลโอบามาเวลานี้กำลังอ้างว่า สโนว์เดนกลายเป็นผู้ที่มือเปื้อนเลือดเนื่องจากการกระทำของเขา ผู้ที่สามารถหยิบยกให้เป็นแบบฉบับได้เรื่องนี้ได้เลย ก็คือ รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ซึ่งกล่าวอ้างว่า “ประชาชนอาจจะต้องล้มตายไป โดยเป็นผลพวงต่อเนื่องจากสิ่งที่ชายผู้นี้กระทำเอาไว้ มีความเป็นไปได้ที่ว่าสหรัฐฯจะถูกโจมตีเพราะพวกผู้ก่อการร้ายในเวลานี้ทราบแล้วถึงวิธีที่จะปกป้องพวกเขาเอง ด้วยวิธีการอะไรบางอย่างซึ่งพวกเขาไม่เคยทราบไม่เคยใช้มาก่อนเลย”
สโนว์เดนเคยได้ยินเสียงอู้อี้ไม่เต็มปากเต็มคำทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งเผยแพร่กระจายกันออกมาในกรณีของ แบรดลีย์ แมนนิ่ง นั่นคือการกล่าวหาว่า เขาทำให้ประชาชนต้องตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสงครามในอิรักและในอัฟกานิสถาน โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงสงครามต่อสู้กับการก่อการร้าย มันกลายเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างเห็นได้ชัดเจนเกินไปเสียแล้ว ถ้าหากยังคิดที่จะพึงพาอาศัยข้อกล่าวหาเช่นนี้กันอยู่อีก
ขณะกำลังบินเข้าไปในความไม่รู้แห่งหนอนาคตอยู่นี้ สโนว์เดนจักต้องรู้สึกปลอดภัยรู้สึกมั่นคง ในการที่ได้เสี่ยงภัยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแสดงให้ชาวอเมริกันเห็นว่า รัฐบาลของพวกเขาและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ได้บิดเบือนหรือกระทั่งละเมิดกฎหมายฉบับต่างๆ กันอย่างไร เพื่อจะได้เก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพวกเรา ในลักษณะที่เป็นการขัดแย้งโดยตรงกับความคุ้มครองตามบทบัญญัติในข้อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 4
องค์การนิรโทษกรรมสากลก็ชี้ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มีประเด็นเรื่องมือเปื้อนเลือดแต่อย่างใดเลย “ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยสาเหตุสำคัญที่สุดนั้นมาจากการที่เขาเปิดเผยให้ทราบถึงการกระทำอันผิดกฎหมายซึ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลสหรัฐฯและของรัฐบาลชาติอื่นๆ” เสียงกระซิบกระซาบแสดงความสนับสนุนเช่นนี้เป็นอะไรบางอย่างที่คุณควรนำติดตัวไปด้วย เมื่อต้องย่างก้าวเข้าไปในความมืดมิด
ผมเชื่อในสิ่งที่ใหญ่โตกว่าตัวผมเอง
บางข้อกล่าวหาที่เล่นงานสโนว์เดน อาจจะทำให้คนอื่นๆ ต้องหยุดชะงักกันได้ทีเดียว เป็นต้นว่า เขากระทำในสิ่งที่ทำไปก็เพียงเพื่อหวังเขย่าขวัญสาธารณชน, ทำไปเนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากความหลงตัวเอง, หรือมิเช่นนั้นก็เนื่องมาจากเหตุผลอันเห็นแก่ตัวของเขาเอง สำหรับสมาชิกของชมรมผู้เป่านกหวีดยุคหลังเหตุการณ์ 9/11 แล้ว ความคิดที่ว่าเรากระทำเพียงเพื่อผลประโยชน์ของเราเองนั้น ช่างเป็นความคิดที่น่าเย้ยหยันกันจริงๆ ในฐานะที่ผมเคยอยู่ในฐานะเช่นนั้นมาแล้ว ความรู้สึกทางลบที่พูดกันออกมาเหล่านี้ ไม่มีทางที่จะเป็นความจริงไปได้เลย
ตัวสโนว์เดนน่าจะหัวเราะเยาะแนวความคิดที่ว่าเขากระทำการเพื่อประโยชน์ของตนเอง หากเขาทำเพราะต้องการเงิน ย่อมจะมีรัฐบาลของสารพัดประเทศที่พร้อมจ่ายเงินก้อนงามให้แก่ข้อมูลที่เขานำไปแจกนักข่าวแบบไม่คิดมูลค่า โดยที่เขาไม่ต้องโดดขึ้นเครื่องบินหลีกลี้ออกจากฮ่องกง (ไม่เคยมีใครเรียกอัลดริช อาเมส Aldrich Ames เป็นผู้เป่านกหวีดหรอก) หากเขาทำเพราะต้องการชื่อเสียง ย่อมจะมีสำนักพิมพ์มากมายมาเสนอสัญญาลิขสิทธิ์หนังสือ หรือค่ายหนังสารพันที่เสนอสัญญาลิขสิทธิ์บทภาพยนตร์
แต่นี่ ไม่เลย มันเป็นเรื่องของมโนธรรม ผมจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าสโนว์เดนเคยอ่านเอกสาร “ปฏิญญาแห่งศาลอาชญากรรมสงครามนครเนิร์นแบร์ก” (Declaration of the Nuremberg War Crimes Tribunal) ที่เขียนเอาไว้ว่า บุคคลมีหน้าที่ในทางระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าเหนือกว่าพันธกรณีแห่งชาติว่าด้วยความเคารพเชื่อฟัง ดังนั้น พลเมืองแต่ละคนของประเทศทั้งหลายจึงมีหน้าที่ที่จะต้องละเมิดกฎหมายของประเทศตน เพื่อป้องกันไม่บังเกิดอาชญากรรมที่เป็นการทำร้ายสันติภาพและมนุษยชาติ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน รู้สึกสบายใจที่ได้ทราบว่าคนอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ พากันโกรธเคืองมากเพียงพอที่จะลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลที่หันมาเล่นงานประชาชนของตนเอง ความคิดของเขาถูกสะท้อนออกมาโดยจูเลียน แอสซานจ์ (Julian Assange ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” ) ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ในความพยายามของคณะรัฐบาลโอบามา ที่จะบดขยี้ผู้เป่านกหวีดหนุ่มสาวเหล่านี้ด้วยข้อหาจารกรรม รัฐบาลสหรัฐฯ ก็กำลังต่อสู้กับผู้คนทั้งหมดในรุ่นอายุนี้ พวกเขาและเธอเป็นคนรุ่นอายุหนุ่มสาว ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และการละเมิดกระบวนการอันเปิดเผยนั้น เป็นสิ่งที่จักยอมรับไม่ได้ ในการต่อสู้กับผู้คนทั้งหมดในรุ่นอายุเช่นนี้ คณะรัฐบาลโอบามามีแต่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
แน่นอนทีเดียวว่า สโนว์เดนหวังว่าประธานาธิบดีโอบามาจะถามตนเองว่าทำไมในยุคของตนจึงต้องมีคดีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายจารกรรม เป็นจำนวนกว่าสองเท่าตัวของคดีแบบนี้ที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้ารวมกันทั้งหมด และทำไมเกือบทั้งหมดของคดีที่มีการฟ้องร้อง ต่างก็มีผลออกมาในทางที่รัฐบาลเป็นฝ่ายแพ้คดี
บนเที่ยวบินออกจากฮ่องกงมุ่งสู่มอสโกเที่ยวนั้น สโนว์เดนคงต้องคิดทบทวนถึงสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไปเพราะการกระทำของเขาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนอัตราสูงลิ่ว, ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหวานฉ่ำในฮาวายและสวิตเซอร์แลนด์, ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวต่างๆ ที่เขาเคยมี, และไม่ว่าจะเป็นการได้ตื่นเต้นกับการเป็นคนวงใน, และความรู้สึกเท่ที่ได้ทราบว่าวันรุ่งขึ้นสื่อมวลชนจะเล่นข่าวอะไร เขาได้สูญเสียสิ่งที่ถือกันว่ามีความสำคัญในชีวิตปัจเจกบุคคลไปมากมายทีเดียว แต่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเขาสูญเสียไปนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ
บางครั้งบางคราว –ซึ่งพวกผู้เป่านกหวีดไม่ว่าคนไหนก็ล้วนแต่เกิดความตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่ลึกๆ –คุณต้องเชื่อว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่า, ลึกซึ้งกว่า, และมีคุณค่ากว่าตัวคุณเอง คุณต้องเชื่อว่าการลงมือกระทำด้วยมโนธรรมอย่างกล้าหาญ อาจจะสามารถสร้างความแตกต่างขึ้นมาในอเมริกาที่กำลังเดินพลัดหลงออกนอกเส้นทาง หรือพูดให้ง่ายๆ เลยก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามที คุณได้ทำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ประเทศชาติของคุณแล้ว
ปีเตอร์ แวน บูเรน เป็น “ผู้เป่านกหวีด” เปิดโปงความสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่ายและการบริหารอันผิดพลาดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ใช้ชื่อเรื่องว่า We Meant Well: How I Helped Lose the Battle for the Hearts and Minds of the Iraqi People.
(ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 3 ตอน นี่เป็นตอนที่ 3
ตอนแรก- การเดินทางอันโดดเดี่ยวของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (ตอนแรก)
ตอน 2- ‘เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน’กับโอกาสที่จะได้กลับบ้าน)
(การเดินทางอันโดดเดี่ยวของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ตอน3)
โดย ปีเตอร์ แวน บูเรน
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
The lonely flight of Edward Snowden
By Peter Van Buren
03/07/2013
เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน นั้นไม่เหมือนกับ “ผู้เป่านกหวีด” (ผู้เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลในหน่วยงานของตนเอง) คนอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งบางทีก็ไร้เดียงสาถึงกับคาดหมายว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะกระทำการต่างๆ โดยยึดมั่นตามรัฐธรรมนูญ อีกทั้งจะกลับหลังหันเลี้ยวออกมาจากเส้นทางอันมุ่งสู่ความเป็นเผด็จการรวบอำนาจและคืนสู่เส้นทางที่ถูกต้องชอบธรรม แต่สำหรับ “จอมแฉ” ผู้นี้แล้ว เขาทราบดีว่ากลไกความมั่นคงอันใหญ่โตมโหฬารของอเมริกาจะหมุนคว้างพุ่งเข้ามาเล่นงานเขาอย่างสุดกำลัง ในเวลาเดียวกับที่วอชิงตันพยายามที่จะวาดภาพทาสีให้เขาเป็นเพียงพวกอยากดังมุ่งแสวงหาชื่อเสียงส่วนตัว แต่การกระทำเพื่อเปิดเผยให้เห็นสัจจะความจริงของเขา ซึ่งต้องเสียสละชีวิตอันเป็นปกติสุขและกลายเป็นผู้หลบหนีลี้ภัยนั้น กลับบ่งบอกให้เห็นถึงคุณสมบัติของคนที่เป็นวีรบุรุษ มิใช่คนขายชาติ
*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 3 ตอน นี่คือตอน 3 ซึ่งเป็นตอนจบ *
(ต่อจากตอน 2)
ผมได้ได้เกลียดชังสหรัฐฯ ...แต่ผมเชื่อว่าสหรัฐฯกำลังหลงทาง
ขณะนั่งในเที่ยวบินออกจากฮ่องกงมุ่งหน้าสู่มอสโกเที่ยวนั้น เอ็ดเวิร์ด สโนว์ดอน นำเอาความรักในอเมริกาของเขาติดตัวไปกับเขาด้วย มันเป็นสิ่งที่พวกเราผู้เป่านักหวีดทุกๆ คนต่างก็มีร่วมกันทั้งนั้น -- ความรักที่ต่อประเทศชาติ ถึงแม้ไม่จำเป็นว่าจะต้องรวมไปถึงรัฐบาลของชาติ, กองทัพของประเทศ, หรือสำนักงานข่าวกรองของประเทศ เข้าไปด้วย พวกเราต่างอนาทรร้อนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราผู้เป็นประชาชนชาวอเมริกัน นี่อาจจะเป็นเสมือนสมอเรือของเขาที่คอยถ่วงให้เขายังสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงระหว่างการเดินทางที่ยังไม่ลงตัวยังเอาแน่ไม่นอนไม่ได้ของเขา และมันก็เป็นเสมือนสมอเรือของผมด้วยเช่นเดียวกัน
จำได้ไหมครับ ถ้าหากเรากำลังทำงานอยู่กับรัฐบาล เหมือนอย่างเป็นลูกจ้างของรัฐบาลกลาง, เป็นทหาร, รวมทั้งเป็นลูกจ้างของพวกผู้รับเหมาทำสัญญากับรัฐบาลจำนวนมากด้วย สิ่งแรกที่สุดก็คือเราจะต้องสาบานตัวโดยกล่าวปฏิญาณตนว่า “ข้าพเจ้าจะสนับสนุนและจะปกป้องรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯจากศัตรูร้ายทั้งมวล ไม่ว่าจากต่างแดนหรือจากภายใน และข้าพเจ้าจักมีศรัทธาอันแท้จริงและจงรักภักดีต่อสิ่งเดียวกันนี้” เราไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะจงรักภักดีต่อรัฐบาล หรือต่อประธานาธิบดี หรือต่อพรรคการเมือง หากแต่เราให้คำมั่นสัญญาที่จะจงรักภักดีต่อ “ประชาชน” --แหล่งที่มาอันสูงสุดแห่งความถูกต้องชอบธรรมของประเทศชาติของเรา ดังที่รัฐธรรมนูญก็ได้ระบุเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจน
ระหว่างที่ให้สัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง สโนว์เดนบอกว่าเขาเคยรั้งรอยังไม่ดำเนินการเปิดโปงข้อมูลต่างๆ ของเขาเอาไว้ระยะหนึ่ง ด้วยความหวังว่า บารัค โอบามา อาจจะมองเข้าไปในขุมนรกอันเลวร้าย และตัดสินใจที่จะกลายเป็นประธานาธิบดีผู้กล้าหาญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา ด้วยการหักเลี้ยวหันกลับเส้นทางของประเทศชาติเสียใหม่ ต่อเมื่อเห็นแล้วว่าไม่สามารถรอคอยความกล้าหาญหรือสติปัญญาของโอบามาได้อีกแล้ว นั่นจึงถึงเวลาที่เขากลายเป็นผู้เป่านกหวีด
มีบัณฑิตผู้รู้บางคนระบุว่า สโนว์เดนไม่สมควรได้รับการยกย่องอะไรเลย เพราะเขาไม่ได้ก้าวเดินไปตาม “ช่องทางที่ถูกต้องเหมาะสม” พวกเขาไม่สามารถที่จะโชว์ความผิดพลาดไม่เข้าทาได้มากกว่านี้อีกแล้ว และสโนว์เดนก็ทราบดีในเรื่องนี้ ในเมื่อพวกเราผู้เป่านกหวีดจำนวนมากมายนักซึ่งกำลังเผชิญกับการกระทำของรัฐบาล ในลักษณะที่ตรงกันข้ามกับที่ระบุเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ สโนว์เดนจึงตัดสินใจก้าวเดินไปตามช่องทางที่มีความสำคัญมากที่สุด นั่นคือเขาใช้สื่อมวลชนอิสระเพื่อจะได้พูดจาโดยตรงกับเจ้านายที่แท้จริงของเขา ซึ่งได้แก่ประชาชนชาวอเมริกัน
พิจารณาจากแง่มุมนี้แล้ว ไม่ว่าเขาจะรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกกระวนกระวายเกี่ยวกับชีวิตของเขาและอนาคตของเขาอย่างไรก็ตามที เขาจะต้องรู้สึกสบายใจกับสิ่งที่เขาทำลงไป เขาไม่ได้คิดคดทรยศต่อประเทศชาติของเขา เขาได้ใช้ความพยายามเพื่อที่จะบอกกล่าวให้ประเทศชาติได้รับทราบความเป็นจริงต่างหาก
เหมือนกับกรณีของ แบรดลีย์ แมนนิ่ง พวกเจ้าหน้าที่ในคณะรัฐบาลโอบามาเวลานี้กำลังอ้างว่า สโนว์เดนกลายเป็นผู้ที่มือเปื้อนเลือดเนื่องจากการกระทำของเขา ผู้ที่สามารถหยิบยกให้เป็นแบบฉบับได้เรื่องนี้ได้เลย ก็คือ รัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น เคร์รี ซึ่งกล่าวอ้างว่า “ประชาชนอาจจะต้องล้มตายไป โดยเป็นผลพวงต่อเนื่องจากสิ่งที่ชายผู้นี้กระทำเอาไว้ มีความเป็นไปได้ที่ว่าสหรัฐฯจะถูกโจมตีเพราะพวกผู้ก่อการร้ายในเวลานี้ทราบแล้วถึงวิธีที่จะปกป้องพวกเขาเอง ด้วยวิธีการอะไรบางอย่างซึ่งพวกเขาไม่เคยทราบไม่เคยใช้มาก่อนเลย”
สโนว์เดนเคยได้ยินเสียงอู้อี้ไม่เต็มปากเต็มคำทำนองเดียวกันนี้ ซึ่งเผยแพร่กระจายกันออกมาในกรณีของ แบรดลีย์ แมนนิ่ง นั่นคือการกล่าวหาว่า เขาทำให้ประชาชนต้องตกอยู่ในอันตราย อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากสงครามในอิรักและในอัฟกานิสถาน โดยที่ยังไม่ต้องพูดถึงสงครามต่อสู้กับการก่อการร้าย มันกลายเป็นเรื่องตลกร้ายอย่างเห็นได้ชัดเจนเกินไปเสียแล้ว ถ้าหากยังคิดที่จะพึงพาอาศัยข้อกล่าวหาเช่นนี้กันอยู่อีก
ขณะกำลังบินเข้าไปในความไม่รู้แห่งหนอนาคตอยู่นี้ สโนว์เดนจักต้องรู้สึกปลอดภัยรู้สึกมั่นคง ในการที่ได้เสี่ยงภัยทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแสดงให้ชาวอเมริกันเห็นว่า รัฐบาลของพวกเขาและสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ได้บิดเบือนหรือกระทั่งละเมิดกฎหมายฉบับต่างๆ กันอย่างไร เพื่อจะได้เก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพวกเรา ในลักษณะที่เป็นการขัดแย้งโดยตรงกับความคุ้มครองตามบทบัญญัติในข้อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 4
องค์การนิรโทษกรรมสากลก็ชี้ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้มีประเด็นเรื่องมือเปื้อนเลือดแต่อย่างใดเลย “ดูเหมือนว่าเขากำลังถูกตั้งข้อกล่าวหาโดยสาเหตุสำคัญที่สุดนั้นมาจากการที่เขาเปิดเผยให้ทราบถึงการกระทำอันผิดกฎหมายซึ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลสหรัฐฯและของรัฐบาลชาติอื่นๆ” เสียงกระซิบกระซาบแสดงความสนับสนุนเช่นนี้เป็นอะไรบางอย่างที่คุณควรนำติดตัวไปด้วย เมื่อต้องย่างก้าวเข้าไปในความมืดมิด
ผมเชื่อในสิ่งที่ใหญ่โตกว่าตัวผมเอง
บางข้อกล่าวหาที่เล่นงานสโนว์เดน อาจจะทำให้คนอื่นๆ ต้องหยุดชะงักกันได้ทีเดียว เป็นต้นว่า เขากระทำในสิ่งที่ทำไปก็เพียงเพื่อหวังเขย่าขวัญสาธารณชน, ทำไปเนื่องจากแรงขับเคลื่อนจากความหลงตัวเอง, หรือมิเช่นนั้นก็เนื่องมาจากเหตุผลอันเห็นแก่ตัวของเขาเอง สำหรับสมาชิกของชมรมผู้เป่านกหวีดยุคหลังเหตุการณ์ 9/11 แล้ว ความคิดที่ว่าเรากระทำเพียงเพื่อผลประโยชน์ของเราเองนั้น ช่างเป็นความคิดที่น่าเย้ยหยันกันจริงๆ ในฐานะที่ผมเคยอยู่ในฐานะเช่นนั้นมาแล้ว ความรู้สึกทางลบที่พูดกันออกมาเหล่านี้ ไม่มีทางที่จะเป็นความจริงไปได้เลย
ตัวสโนว์เดนน่าจะหัวเราะเยาะแนวความคิดที่ว่าเขากระทำการเพื่อประโยชน์ของตนเอง หากเขาทำเพราะต้องการเงิน ย่อมจะมีรัฐบาลของสารพัดประเทศที่พร้อมจ่ายเงินก้อนงามให้แก่ข้อมูลที่เขานำไปแจกนักข่าวแบบไม่คิดมูลค่า โดยที่เขาไม่ต้องโดดขึ้นเครื่องบินหลีกลี้ออกจากฮ่องกง (ไม่เคยมีใครเรียกอัลดริช อาเมส Aldrich Ames เป็นผู้เป่านกหวีดหรอก) หากเขาทำเพราะต้องการชื่อเสียง ย่อมจะมีสำนักพิมพ์มากมายมาเสนอสัญญาลิขสิทธิ์หนังสือ หรือค่ายหนังสารพันที่เสนอสัญญาลิขสิทธิ์บทภาพยนตร์
แต่นี่ ไม่เลย มันเป็นเรื่องของมโนธรรม ผมจะไม่ประหลาดใจเลยถ้าสโนว์เดนเคยอ่านเอกสาร “ปฏิญญาแห่งศาลอาชญากรรมสงครามนครเนิร์นแบร์ก” (Declaration of the Nuremberg War Crimes Tribunal) ที่เขียนเอาไว้ว่า บุคคลมีหน้าที่ในทางระหว่างประเทศ ซึ่งถือว่าเหนือกว่าพันธกรณีแห่งชาติว่าด้วยความเคารพเชื่อฟัง ดังนั้น พลเมืองแต่ละคนของประเทศทั้งหลายจึงมีหน้าที่ที่จะต้องละเมิดกฎหมายของประเทศตน เพื่อป้องกันไม่บังเกิดอาชญากรรมที่เป็นการทำร้ายสันติภาพและมนุษยชาติ”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน รู้สึกสบายใจที่ได้ทราบว่าคนอเมริกันมากขึ้นเรื่อยๆ พากันโกรธเคืองมากเพียงพอที่จะลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลที่หันมาเล่นงานประชาชนของตนเอง ความคิดของเขาถูกสะท้อนออกมาโดยจูเลียน แอสซานจ์ (Julian Assange ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ “วิกิลีกส์” ) ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ในความพยายามของคณะรัฐบาลโอบามา ที่จะบดขยี้ผู้เป่านกหวีดหนุ่มสาวเหล่านี้ด้วยข้อหาจารกรรม รัฐบาลสหรัฐฯ ก็กำลังต่อสู้กับผู้คนทั้งหมดในรุ่นอายุนี้ พวกเขาและเธอเป็นคนรุ่นอายุหนุ่มสาว ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว และการละเมิดกระบวนการอันเปิดเผยนั้น เป็นสิ่งที่จักยอมรับไม่ได้ ในการต่อสู้กับผู้คนทั้งหมดในรุ่นอายุเช่นนี้ คณะรัฐบาลโอบามามีแต่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้”
แน่นอนทีเดียวว่า สโนว์เดนหวังว่าประธานาธิบดีโอบามาจะถามตนเองว่าทำไมในยุคของตนจึงต้องมีคดีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายจารกรรม เป็นจำนวนกว่าสองเท่าตัวของคดีแบบนี้ที่เกิดขึ้นในยุคก่อนหน้ารวมกันทั้งหมด และทำไมเกือบทั้งหมดของคดีที่มีการฟ้องร้อง ต่างก็มีผลออกมาในทางที่รัฐบาลเป็นฝ่ายแพ้คดี
บนเที่ยวบินออกจากฮ่องกงมุ่งสู่มอสโกเที่ยวนั้น สโนว์เดนคงต้องคิดทบทวนถึงสิ่งที่เขาต้องสูญเสียไปเพราะการกระทำของเขาครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนอัตราสูงลิ่ว, ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหวานฉ่ำในฮาวายและสวิตเซอร์แลนด์, ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัวต่างๆ ที่เขาเคยมี, และไม่ว่าจะเป็นการได้ตื่นเต้นกับการเป็นคนวงใน, และความรู้สึกเท่ที่ได้ทราบว่าวันรุ่งขึ้นสื่อมวลชนจะเล่นข่าวอะไร เขาได้สูญเสียสิ่งที่ถือกันว่ามีความสำคัญในชีวิตปัจเจกบุคคลไปมากมายทีเดียว แต่ใช่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งเขาสูญเสียไปนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆ
บางครั้งบางคราว –ซึ่งพวกผู้เป่านกหวีดไม่ว่าคนไหนก็ล้วนแต่เกิดความตระหนักถึงเรื่องนี้อยู่ลึกๆ –คุณต้องเชื่อว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่า, ลึกซึ้งกว่า, และมีคุณค่ากว่าตัวคุณเอง คุณต้องเชื่อว่าการลงมือกระทำด้วยมโนธรรมอย่างกล้าหาญ อาจจะสามารถสร้างความแตกต่างขึ้นมาในอเมริกาที่กำลังเดินพลัดหลงออกนอกเส้นทาง หรือพูดให้ง่ายๆ เลยก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามที คุณได้ทำสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ประเทศชาติของคุณแล้ว
ปีเตอร์ แวน บูเรน เป็น “ผู้เป่านกหวีด” เปิดโปงความสิ้นเปลืองสุรุ่ยสุร่ายและการบริหารอันผิดพลาดของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯเอาไว้ในหนังสือของเขาที่ใช้ชื่อเรื่องว่า We Meant Well: How I Helped Lose the Battle for the Hearts and Minds of the Iraqi People.
(ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 3 ตอน นี่เป็นตอนที่ 3
ตอนแรก- การเดินทางอันโดดเดี่ยวของ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (ตอนแรก)
ตอน 2- ‘เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน’กับโอกาสที่จะได้กลับบ้าน)