เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ทาทา มอเตอร์ส บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของอินเดีย ประกาศในวันพุธ (10) เลือกอินโดนีเซียเป็น “ฐานการผลิต” รถยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทนที่ประเทศไทย โดยระบุ เล็งเห็นถึงศักยภาพของแดนอิเหนา ที่กำลังจะ “เขี่ยไทยตกกระป๋อง” จากการเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
ทาทา มอเตอร์ส ผู้ผลิตยานยนต์เบอร์ 1 จากแดนโรตี และเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่อันดับที่ 18 ของโลกซึ่งมีฐานอยู่ที่นครมุมไบในรัฐมหาราษฏระ ของอินเดียประกาศเลือกใช้อินโดนีเซีย เป็นที่ตั้งฐานการผลิตของบริษัทสำหรับรองรับการผลิตรถยนต์ส่งออกไปจำหน่ายทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แทนการใช้ประเทศไทยเป็นฐาน
รายงานข่าวระบุว่า คณะผู้บริหารของทาทา มอเตอร์สที่นำโดยไซรัส ปัลลอนจิ มิสตรี และระวี กานต์ตัดสินใจเลือกตั้งฐานการผลิตในอินโดนีเซียเนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของแดนอิเหนา ที่กำลังจะขยับแซงหน้าไทยขึ้นเป็นตลาดยานยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี ค.ศ.2014 ขณะเดียวกัน ผู้บริหารของทาทา มอเตอร์สยังตั้งเป้าให้อินโดนีเซียขึ้นแท่นเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทที่ตั้งอยู่ “นอกอินเดีย” อีกด้วย
ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์จากอินเดียซึ่งก่อตั้งกิจการมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1945 มีแผนเริ่มทำตลาดในอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการภายใน 2 เดือนข้างหน้าโดยจะเน้นการจำหน่ายรถที่เกาะชวาและบาหลี ที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญก่อน รวมถึงมีแผนตั้งโรงงานประกอบรถยนต์ในอินโดนีเซีย แม้การตั้งโรงงานดังกล่าวอาจต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปี
วิศวเทพ เสนคุปตะ ซีอีโอของทาทา มอเตอร์สประจำอินโดนีเซียเผยว่า ทางบริษัทมีแผนจะใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตในอินโดนีเซียถึงร้อยละ 40 ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดด้านการลงทุน สำหรับยานยนต์ที่จะขายในชาติสมาชิกสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations: ASEAN )
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของทาทา มอเตอร์สซึ่งทำรายได้กว่า 32,670 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1.02 ล้านล้านบาท)ในปีที่แล้ว มีขึ้นหลังจากที่ยอดขายของบริษัทยังคงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อน ขณะที่มูลค่าหุ้นของทาทา ก็ร่วงลงมาแล้ว 7.8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้
ทั้งนี้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นภูมิภาคที่น่าจับตามองทางด้านเศรษฐกิจจากการที่มีประชากรกว่า 600 ล้านคนซึ่งส่วนใหญ่เป็น “ชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ” ขณะเดียวกันจำนวนประชากรกว่า 600 ล้านคนดังกล่าวของภูมิภาคอาเซียนยังสามารถเทียบได้กับจำนวนประชากรของสหรัฐฯ รวมกับเยอรมนีและบราซิลอีกด้วย ตามข้อมูลของ “เบน แอนด์ โค” บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนสัญชาติอเมริกันที่มีฐานอยู่ในนครบอสตัน