เอเอฟพี - ราคาน้ำมันและวอลล์สตรีทวานนี้ (27) บวกแรงต่อเนื่องสองวันติด หลังคลายกังวลต่อวิกฤตสภาพคล่องของจีนและได้แรงหนุนจากข้อมูลทางเศรษฐกินอันสดใสของอเมริกา อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวกลับฉุดให้ทองคำทรุดอีก โดยช่วงหนึ่งถึงขั้นหลุด 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เหตุหวั่นว่าท้ายที่สุดแล้วเฟดจะตัดสินใจม้วนเสื่อนโยบายผ่อนคลายทางการเงินตามถ้อยแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 1.55 ดอลลาร์ ปิดที่ 97.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.16 ดอลลาร์ ปิดที่ 102.82 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากข้อมูลต่างๆ นานา ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯยังเติบโตในระดับปานกลาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม หลังจากลดลงในเดือนเมษายน รายได้ประชาชนเพิ่มขึ้น แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงตัวเลขผู้เข้ารับสิทธิประโยชน์คนว่างงานที่ลดลงเล็กน้อยและยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายอันแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังได้แรงส่งจากคำรับประกันของปักกิ่ง ที่บอกว่าจะเคลื่อนไหวรักษาเสถียรภาพสภาพคล่องของตนเอง หลังธนาคารกลางจีนระบุเมื่อวันอังคาร (25) จัดเตรียมเงินไว้พร้อมสำหรับช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาสภาพคล่องตึงตัว
ข้อมูลบวกทางเศรษฐกิจอเมริกาและแนวทางจัดการปัญหาสภาพคล่องของจีนข้างต้น ผ่อนคลายความกังวลของนักลงทุน และเป็นผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯวานนี้ (27) ขยับขึ้นอย่างแข็งแกร่งเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 114.43 จุด (0.77 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 15,024.57 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 25.64 จุด (0.76 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,401.86 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 9.95 จุด (0.62 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,613.21 จุด
อย่างไรก็ตามปัจจัยบวกต่างๆ เหล่านั้น กลับฉุดให้ราคาทองคำ ปิดลบวานนี้ (27) โดยช่วงหนึ่งของการซื้อขายร่วงลงไปต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ต่ออนซ์ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี เหตุนักลงทุนคาดหมายว่าท้ายที่สุดแล้วเศรษฐกิจที่ดีขึ้นจะนำไปสู่การยุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วางกรอบเอาไว้
โดยทองคำตลาดโคเมกซ์ของสหรัฐฯ ลดลง 18.20 ดอลลาร์ หรือร้อยละ 1.5 ปิดที่ 1,211.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากช่วงหนึ่งร่วงแตะ 1,196 ดอลลาร์ นับเป็นการซื้อขายต่ำกว่า 1,200 ดอลลาร์ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2010
