เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-รายงานล่าสุดชี้ น้ำมันและถ่านหินจะหมดไปจากอินโดนีเซีย ภายในระยะเวลาเพียง 10-14ปีจากนี้ หากไม่มีการค้นพบแหล่งพลังงานดังกล่าวเพิ่ม ถือเป็นข่าวร้ายสร้างความสั่นสะเทือนแวดวงพลังงาน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
รายงานประจำปีซึ่งเผยแพร่โดย “บีพี” ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานจากสหราชอาณาจักร ที่มีการเผยแพร่ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาระบุว่า น้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรอันล้ำค่าที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของอินโดนีเซียมาช้านาน กำลังจะหมดไปจากแดนอิเหนาภายในปี ค.ศ.2024 หรือราว 1 ทศวรรษข้างหน้า
รายงานของบีพีระบุ ปริมาณการผลิตน้ำมันของอินโดนีเซียในปีที่ผ่านมายืนอยู่ที่ราว 918,000 บาร์เรลต่อวัน ขณะที่ปริมาณน้ำมันสำรองใต้พื้นดินของดินแดนที่ประกอบไปด้วยหมู่เกาะมากกว่า 17,500 แห่งและเป็นบ้านของประชากรมากกว่า 238 ล้านคนแห่งนี้ คงเหลืออยู่เพียง “ 3,700 ล้านบาร์เรล” เท่านั้น ขณะที่ยอดการบริโภคน้ำมันของอินโดนีเซียในปี 2012 อยู่ที่ระดับ 1.56 ล้านบาร์เรล
ข้อมูลจากรายงานของยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานอย่างบีพีระบุว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมันสำรองของอินโดนีเซียได้ลดต่ำลงมาแล้วถึง 21 เปอร์เซ็นต์ สวนทางกับปริมาณน้ำมันสำรองของทั่วโลกที่พบว่ามีปริมาณสูงขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์หลังมีการพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆในหลายประเทศ ซึ่งเพียงพอที่ชาวโลกจะใช้ได้อีกราว 52.9 ปี
นั่นหมายความว่า หากอินโดนีเซียยังไม่มีการขุดพบแหล่งน้ำมันใหม่ๆในอนาคตอันใกล้นี้ ปริมาณน้ำมันสำรองที่อินโดนีเซียมีอยู่ในเวลานี้อีก3,700 ล้านบาร์เรลจะหมดลงภายในปี 2024 อย่างแน่นอน และหากเป็นเช่นนั้นย่อมส่งผลกระทบต่ออนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ได้ชื่อว่า มีประชากรมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลกแห่งนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ถือเป็นข่าวร้ายซ้ำเติมหลังจากที่อินโดนีเซียต้องสูญเสียสถานะประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในปี 2003 และต้องประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกของกลุ่ม “โอเปก” ไปเมื่อปี 2008
นอกจากน้ำมันจะหมดไปจากอินโดนีเซียภายในปี 2024 แล้ว รายงานดังกล่าวยังพบข้อมูลอันน่าตกใจว่า ถ่านหินซึ่งเคยมีอยู่อย่างล้นเหลือตามเกาะแก่งต่างๆทั่วอินโดนีเซีย ก็จะหมดลงภายในระยะเวลา 14 ปีข้างหน้าเช่นกัน หลังปริมาณถ่านหินสำรองของแดนอิเหนาล่าสุดลดเหลือ 5.5พันล้านเมตริกตันแล้ว เมื่อเทียบกับปริมาณถ่านหินสำรองทั่วโลกที่มีอยู่ 860,000 ล้านตัน
รายงานของบีพีระบุว่า ลำพังปีที่แล้วเพียงปีเดียว ถ่านหินในอินโดนีเซียคิดเป็นปริมาณสูงถึง 237.4 ล้านตันก็ได้ถูกขุดขึ้นมา ซึ่งกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ถูกส่งไปป้อนการเติบโตของจีนและอินเดีย สองประเทศกลุ่มเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่ที่กำลังโหมการพัฒนาเศรษฐกิจของตนอย่างขนานใหญ่
