เอเจนซีส์ - เอ็ดเวิร์ด สโนว์เด็น วัย 29 อดีตเจ้าหน้าที่ผู้ช่วยฝ่ายเทคนิคของ CIA จากฮาวาย และขณะนี้ทำงานให้แก่บริษัท Bose Ellen Hamilton สโนว์เด็นทำงานให้แก่หน่วยความมั่นคงของสหรัฐฯ หรือ NSA เป็นเวลา 4 ปี ภายใต้บริษัทหลายแห่งที่มีสัญญากับ NSA อาทิ Bose Ellen Hamilton หรือเดล ซึ่งขณะนี้หนีมาอยู่ที่ฮ่องกง ยอมรับว่า “เขาและคนที่รู้จักอาจไม่ปลอดภัย” หลังจากเปิดโปงโครงการลับของ NSA
สโนว์เด็นพลิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหรัฐฯ ในแง่ของผู้เปิดโปงความลับทางด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ นับจาก แดเนียว เอลลิสเบิร์ก ที่เกี่ยวกับ “เพนตากอน เปเปอร์” และ แบรดลีย์ แมนนิง ที่พัวพันการให้เอกสารความลับแก่ Wikileaks
เบื้องหลังการเตรียมการเปิดโปง NSA สโนว์เด็นเดินทางออกจากฮาวายมาที่ฮ่องกงในวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา เขาต้องการหาสถานที่ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถพาตัวเขากลับได้ สโนว์เด็นเผยกับดิการ์เดียน
เอ็ดเวิร์ด สโนว์เด็น วัย 29 การงานมั่นคง เงินเดือนราว 200,000 ดอลลาร์ต่อปี มีบ้านที่เขาและแฟนสาวอาศัยอยู่ในรัฐฮาวาย ออกมายอมรับว่าเขาเป็นแหล่งข่าวให้แก่ดิการ์เดียน และเหตุที่เขาต้องเปิดเผยโครงการลับของหน่วยงานความมั่นคงของสหรัฐฯ เป็นเพระเขาทนไม่ได้ที่เห็นรัฐบาลสหรัฐฯ ดักฟังคนอเมริกันที่บริสุทธิ์จำนวนนับล้าน ซึ่งการเปิดโปงครั้งนี้ทำให้สังคมรับรู้โครงการจารกรรม 2 โครงการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ทำกับประชาชนของตัวเองอยู่ โครงการแรกคือการมอนิเตอร์การใช้โทรศัพท์ของคนที่อาศัยอยู่ในอเมริกาเพื่อจะรู้ว่าพวกผู้ก่อการร้ายติดต่อใครบ้างที่อาศัยอยู่ในประเทศ ในขณะที่รัฐบาลโอบามาปฏิเสธว่าไม่ได้สนใจใน “เนื้อหา” ของการโทร. และโครงการที่สองคือ การสอดส่องทางอินเทอร์เน็ต ที่มีชื่อปฏิบัติการว่า “ปริซึม” อนุญาตให้หน่วยงาน NSA และ FBI ดักฟังรวบรวมข้อมูลได้โดยตรงจากเซิร์ฟเวอร์ของบริษ้ทไฮเทคในสหรัฐฯ ที่ให้บริการต่างๆ บนระบบอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของเสียง ภาพ วิดีโอ อีเมล และเสิร์ช เพื่อดูพฤติกรรมที่น่าสงสัยของคนที่อยู่นอกประเทศ
สโนว์เด็นอ้างว่า โปรแกรมลับพวกนั้นที่ว่าไม่มีอันตราย “ไม่เป็นความจริง”
“คนที่คอยนั่งมอนิเตอร์อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์สามารถเล่นงานใครที่ไหนเมื่อไรก็ได้ การที่จะเลือกเป้าหมายขึ้นอยู่กับระยะทางของเซ็นเซอร์เน็ตเวิร์กพวกนั้น และอำนาจที่ผู้คอยมอนิเตอร์ที่จะมี” สโนว์เด็นเผยจากวิดีโอคลิปบนเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ดิการ์เดียน “ไม่ใช่ผู้วิเคราะห์ข้อมูลทุกคนมีอำนาจที่จะเล่นงานใครก็ได้ แต่ผมก็นั่งที่โต๊ะของผมคอยดักฟังใครก็ได้ บางทีอาจจะเป็นการสนทนาระหว่างคุณหรือจากนักบัญชีของคุณถึงผู้พิพาษาของศาลรัฐบาลกลาง หรือมันอาจจะถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ถ้าแค่ผมมีอีเมลส่วนตัวของเป้าหมายอยู่”
ในขณะเดียวกัน โฆษกของผู้อำนวยการของ NSA ฌอน ทูนเนอร์ กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนพิเศษกำลังประเมินความเสียหายจากการรั่วไหลความลับในครั้งนี้” และเสริมต่อไปว่า “ใครก็ตามที่สามารถผ่านเข้าสู่ชั้นความลับต่างๆ ได้ ต้องรู้ว่ามีหน้าที่ต้อง “รักษา” ความลับนั้นไว้ตามที่กฎหมายระบุ”
และจากแถลงการณ์ของบริษัท Bose Ellen Hamilton ระบุว่า สโนว์เด็น “ทำงานอยู่กับบริษัทไม่ถึง 3 เดือน ได้รับมอบหมายให้ประจำทีมฮาวาย” และกล่าวว่า หากข้อมูลใดก็ตามที่สโนว์เด็นเปิดเผยนั้น “ถูกต้อง” หมายความว่าพฤติกรรมของสโนว์เด็นถือว่า “ผิดวินัยของบริษัทขั้นร้ายแรง” และบริษัทสัญญาที่จะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานของรัฐในการสอบสวนครั้งนี้
จากประวัติของสโนว์เด็น เขาเข้ามาทำงานให้แก่ NSA ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ภายหลังที่เขาปลดประจำการจากกองทัพเพราะอาการบาดเจ็บ และหลังจากนั้นเขาเข้าทำงานให้แก่ CIA ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่อินฟอร์เมชันเทคโนโลยี ต่อมาก่อนปี 2007 เขาถูกส่งไปประจำที่สวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งสโนว์เด็นได้เข้าถึงชั้นความลับเรื่องการจารกรรมประชาชนอเมริกันของรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก และที่เขาต้องตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลเร็วๆ นี้เป็นเพราะเขาเห็นแล้วว่าประธานาธิบดีโอบามาที่เพิ่งได้รับการเลือกตั้งกลับเข้ามาไม่ทำอะไรกับโครงการจารกรรมพวกนี้เลย ในปี 2009 สโนว์เด็นลาออกจากหน่วยงาน CIA และไปทำงานให้แก่บริษัทคอนแทรกต์ซึ่งมีสัญญากับ NSA ซึ่งตัวเขาทำงานในหน่วย NSA เป็นเวลายาวนานถึง 4 ปี ในฐานะที่เป็นพนักงานของบริษัทที่ปรึกษายักษ์ใหญ่อย่าง Bose Ellen Hamilton และก่อนหน้านั้นเขาทำงานให้แก่บริษัทเดล
ดิการ์เดียนรายงานต่อว่า เอกสารข้อมูลที่สโนว์เด็นเปิดโปงผ่านดิการ์เดียนในครั้งนี้ได้มาจากสำนักงานของ NSA ประจำฮาวาย สโนว์เด็นวางแผนที่จะเปิดโปงโดยที่แจ้งต่อหัวหน้าของเขาว่า สโนว์เด็นต้องการลาหยุดสัก 2-3 อาทิตย์เพื่อรักษาโรคลมชัก และเดินทางมาฮ่องกงโดยไม่บอกกับแฟนสาวที่ใช้ชีวิตร่วมกัน โดยเขายอมรับว่ากลัวว่าแฟน ญาติ และคนรู้จักอาจตกเป็นอันตราย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเปิดเผยตัวในที่สาธารณะ พร้อมกับยืนยันว่า “คนพวกนั้น (เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคง) ต้องทำทุกวิถีทางกับคนที่ผมรู้จักเพื่อให้ได้ตัวผม”
มีความเป็นไปได้ว่าสโนว์เด็นอาจต้องถูกจำคุกเป็นเวลาหลายสิบปีในสหรัฐฯ ฐานเปิดเผยข้อมูลชั้นความลับสู่สาธารณะ จากการให้ความเห็นของตัวแทนด้านกฎหมายของผู้ที่เคยเปิดโปงข้อมูลชั้นความลับมาก่อน และสโนว์เด็นให้ความเห็นต่อไปว่า ตัวเขาอาจจะโดนตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นคนทรยศภายใต้กฎหมาย “จารกรรมแอกท์” แต่ตัวแทนด้านกฎหมายกลับแย้งว่า สหรัฐฯ ต้องมีหลักฐานสนับสนุนว่าสโนว์เด็นทรยศต่อประเทศอเมริกา ในขณะที่สโนว์เด็นบอกผ่านสื่อสาธารณะว่าต้องการเปิดเผยข้อมูลเพื่อให้เป็นประเด็นในสังคมเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง