“หัวเว่ย” ชี้รัฐบาลทั่วโลกล้วนใช้ “แฮกเกอร์” ขโมยข้อมูลลับ

เอเอฟพี - การเจาะข้อมูลลับผ่านระบบอินเทอร์เน็ตคือแนวทางปฏิบัติอันเป็นมาตรฐานสำหรับรัฐบาลทั่วโลก ผู้บริหารระดับสูงของ หัวเว่ย บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีน แถลงวันนี้(29)

คำแถลงจาก หัวเว่ย มีขึ้น หลังจากที่หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ของสหรัฐฯ ออกมาแฉว่า แฮกเกอร์จีนแอบล้วงข้อมูลอาวุธไฮเทคของสหรัฐฯไปกว่า 20 รายการ ส่วนสื่อออสเตรเลียก็รายงานว่า พิมพ์เขียวอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของหน่วยข่าวกรองออสเตรเลีย ถูกนักเจาะระบบแดนมังกรฉกไปเรียบร้อยแล้ว

จอห์น ซัฟฟอล์ก อดีตผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันมารับหน้าที่หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงไซเบอร์ให้กับ หัวเว่ย ระบุว่า ตัวเขาเองไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย เมื่อทราบข่าวการจารกรรมข้อมูลระดับประเทศ

“รัฐบาลประเทศไหนก็ทำแบบนี้ทั้งนั้น” ซัฟฟอล์ก ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์ ออสเตรเลียน ไฟแนนเชียล รีวิว โดยกล่าวเสริมอีกว่า “ความจริงที่ยากจะรับได้ก็คือ ทุกรัฐบาลต่างมีแนวปฏิบัติสำหรับหน่วยงานความมั่นคงที่ไม่ต่างกัน”

“มีคำพูดที่ว่า การขโมยข้อมูลคืออาชีพเก่าแก่อันดับ 2 ของโลก ซึ่งก็หมายถึงการที่คนๆหนึ่งพยายามล้วงข้อมูลจากเราเพื่อนำไปบอกแก่อีกคนหนึ่ง เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่รัฐบาลประเทศหนึ่งจะอยากรู้ว่ารัฐบาลอื่นๆทำอะไรกันอยู่”

“ทุกรัฐบาลต้องหาวิธีสืบข้อมูลอย่างเงียบๆ โดยยอมรับความจริงว่า ไม่มีรัฐบาลไหนให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะมีกฎหมาย, นโยบาย หรือกระบวนการใดๆมารองรับก็ตาม”

เมื่อวานนี้(28) เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยืนยันรายงานของ วอชิงตันโพสต์ ที่ว่า แฮกเกอร์จีนได้เจาะเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาอาวุธล้ำสมัยของสหรัฐฯ ตั้งแต่เครื่องบินขับไล่ไปจนถึงระบบป้องกันขีปนาวุธ

ด้านสำนักข่าว เอบีซี ของออสเตรเลีย ระบุว่า พิมพ์เขียวที่ถูกแฮกเกอร์จีนขโมยไปประกอบด้วยโครงข่ายสายเคเบิลของระบบรักษาความปลอดภัยและการสื่อสารภายในสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ, แผนผังอาคารชั้นต่างๆ และตำแหน่งของคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (server)

จีนยังไม่ออกมาแสดงความเห็นใดๆเกี่ยวกับข่าวการแฮ็กข้อมูลอาวุธของสหรัฐฯ แต่ระบุว่า ข้อกล่าวหาของ เอบีซี “ไม่มีมูล”

หัวเว่ย เองก็ตกอยู่ในข่ายต้องสงสัยพัวพันกับการแฮกข้อมูลเช่นกัน โดยเมื่อปีที่แล้ว สภาคองเกรสสหรัฐฯได้แสดงความหวาดระแวงสายสัมพันธ์ระหว่าง หัวเว่ย กับรัฐบาลจีน และชี้ว่าอุปกรณ์สื่อสารที่ผลิตโดยบริษัทแห่งนี้อาจถูกใช้เพื่อจารกรรมข้อมูล