รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - จีพี มอร์แกน ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) แถลงในวันอาทิตย์ (27 ม.ค.) ว่า ข้อเสนอท้ายสุดของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งขยับราคาขอซื้อกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเครื่องดื่มรายยักษ์ของสิงคโปร์แห่งนี้ เป็น 9.55 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้นนั้น เป็นราคาที่ “ยุติธรรม” แล้ว
ทางด้านคณะกรรมการบริหารของเอฟแอนด์เอ็นหลายรายซึ่งมีหุ้นของบริษัทอยู่ในครอบครอง รวมทั้งตัว ประธานลี เซียนยาง ระบุในคำแถลงอีกฉบับหนึ่งว่า มีเจตนารมณ์ที่จะยอมรับและขายหุ้นให้แก่เจ้าสัวเจริญในราคาดังกล่าว
เวลานี้กลุ่มเจ้าสัวเจริญจึงน่าที่จะเข้าเทคโอเวอร์เอฟแอนด์เอ็นได้สำเร็จแน่ ซึ่งจะกลายเป็นดีลการควบรวมกิจการที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่เขาประกาศแล้วว่า การขอซื้อในราคา 9.55 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น ซึ่งเท่ากับตีมูลค่าบริษัทยักษ์สิงคโปร์แห่งนี้เอาไว้ที่ประมาณ 13,750 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 336,875 ล้านบาท) นั้น ถือเป็นข้อเสนอสุดท้ายของเขา
ราคาที่อภิมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทยรายนี้เสนอท้ายสุดนี้ เพิ่มขึ้น 7.5% จากราคาที่เขาเสนอเอาไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 8.88 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อหุ้น และได้ถูกเกทับเสนอราคาที่สูงกว่า โดยกลุ่มที่นำโดย โอเวอร์ซีส์ ยูเนียน เอนเตอร์ไพรซ์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ แต่เป็นกิจการในเครือลิปโป กรุ๊ป ของอภิมหาเศรษฐีอินโดนีเซีย มอกตาร์ ไรอาดี
แต่หลังจากทางฝ่ายเจ้าสัวเจริญปรับราคาเสนอของตนขึ้นไปจากเดิมในตอนต้นสัปดาห์ที่แล้ว กลุ่มโอเวอร์ซีส์ ยูเนียน ก็แถลงยอมแพ้ถอนตัวจากการทำศึกกับอภิมหาเศรษฐีไทยซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลาราว 2 เดือน อันเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าตลาดมิได้คาดหมายว่าจะมีผู้เสนอซื้อหน้าใหม่ๆ ปรากฏขึ้นมาอีก
เจ้าสัวเจริญในปัจจุบันมีหุ้นเอฟแอนด์เอ็นอยู่แล้ว 45.22% โดยถือครองผ่านทางบริษัทไทยเบฟ และบริษัททีซีซี แอสเสตส์ โดยเอฟแอนด์เอ็นนั้นมีสินทรัพย์ทางด้านอสังหาริมทรัพย์เป็นมูลค่ากว่า 8,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ นอกจากนั้นยังมีธุรกิจทางด้านเครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์นม และการพิมพ์อีกด้วย
พวกนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เจ้าสัวเจริญน่าจะอาศัยเครือข่ายของเอฟแอนด์เอ็นในสิงคโปร์และมาเลเซีย มาช่วยงานจัดจำหน่ายเบียร์ช้าง ของไทยเบฟ รวมทั้งพวกผลิตภัณฑ์สุรา, เครื่องดื่มบำรุงกำลัง และกาแฟสำเร็จรูปในสองประเทศดังกล่าว เวลาเดียวกันก็จะนำเอาแบรนด์เอฟแอนด์เอ็นมาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งเจ้าสัวเจริญมีฐานที่แน่นหนามั่นคงอยู่แล้ว
