xs
xsm
sm
md
lg

ถึงเวลาตัดงบประมาณกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯแล้ว

เผยแพร่:   โดย: มีเรียม เพมเบอร์ตัน

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

The Pentagon Is Ripe for Reduction
By Miriam Pemberton
12/12/2012

เวลานี้สหรัฐฯกำลังอยู่ตรงขอบๆ ของจังหวะเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่ง สหรัฐฯกำลังเริ่มต้นชะลอความเร็วเพื่อหลุดออกจากห้วงเวลาแห่งสงครามครั้งยาวนานที่สุดของประเทศ จังหวะเวลาเช่นนี้แหละย่อมเหมาะสมแก่การตัดลดงบประมาณด้านกลาโหม อันที่จริงแล้ว ส่วนหนึ่งของบรรดามาตรการใน “หน้าผาการคลัง” ที่วอชิงตันกำลังพยายามต่อรองกันเพื่อหลบหลีกให้ผ่านพ้นไม่ต้องดำเนินการนั้น ก็เป็นเรื่องการตัดลดค่าใช้จ่ายทางทหารนี้เอง ถึงแม้เป็นเรื่องแน่นอนทีเดียวว่า การตัดลดค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม โดยที่ปราศจากข้อตกลงใหม่ใดๆ ในการสร้างความสมดุลทางงบประมาณโดยองค์รวมแล้ว ย่อมเป็นวิธีการที่เลวในการบริหารกิจการรัฐบาล

เวลานี้สหรัฐฯกำลังอยู่ตรงบริเวณชายขอบของจังหวะเวลาแห่งประวัติศาสตร์อันสำคัญมากอีกคำรบหนึ่ง สหรัฐฯกำลังเริ่มต้นชะลอความเร็วเพื่อหลุดออกมาจากห้วงเวลาแห่งสงครามครั้งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ และสหรัฐฯกำลังจะหมุนตัวกลับภายหลังจากที่ได้เพิ่มการใช้จ่ายให้แก่กระทรวงกลาโหมอย่างมากมายมาเป็นเวลานานถึง 13 ปีแล้ว

มันไม่ใช่เป็นเพียงระยะเวลาอันยาวนานเหลือเกินในความคิดของพวกผู้สนับสนุนเรียกร้องให้ทำการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาเนิ่นนานเต็มทีแล้วเท่านั้น แม้กระทั่ง วิลเลียม ลินน์ (William Lynn) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ผู้ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่เป็นนักล็อบบี้ให้แก่ เรย์ธีออน (Raytheon) บริษัทรับเหมาด้านการทหารรายใหญ่ ก็ยังพูดปรียบเทียบช่วงเวลาปัจจุบัน กับช่วงหลายๆ ปีภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตลอดจนช่วงหลายๆ ปีภายหลังสงครามเกาหลี, ภายหลังสงครามเวียดนาม, และภายหลังสงครามเย็น ในระหว่างที่เขาไปกล่าวปราศรัยต่อสถาบันทหารเรือสหรัฐฯ (US Naval Institute) เมื่อเร็วๆ นี้ พร้อมกันนั้นเขาชี้ด้วยว่าสหรัฐฯกำลังจะมีการตัดลดงบประมาณทางทหารกันครั้งใหญ่ในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้

ทว่านี่ไม่ได้เป็น “ชะง่อนผา” (precipice) ซึ่งกำลังเป็นที่สนอกสนใจวิตกทุกข์ร้อนกันอยู่ในวอชิงตันเวลานี้หรอก ตรงกันข้าม วลีซึ่งกำลังพูดกันติดปากกำลังได้ยินกันติดหู คือสิ่งที่เรียกขานกันว่า “หน้าผาการคลัง” (fiscal cliff) อันหมายถึงแพกเกจมาตรการขึ้นภาษี และตัดลดค่าใช้จ่ายด้านต่างๆ ลงมาซึ่งกำหนดบังคับให้ต้องเริ่มดำเนินการกันตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2013 เป็นต้นไป ถ้าหากรัฐสภายังคงไม่สามารถตกลงกันเกี่ยวกับวิธีการที่จะหยุดยั้งการปฏิบัติตามแพกเกจดังกล่าวนี้

อันที่จริงแล้ว การตัดลดงบประมาณกระทรวงกลาโหม ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ “หน้าผาการคลัง” ที่กำลังพูดจากันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดนี่แหละ แต่คุณจะแทบไม่มีโอกาสได้รับทราบเรื่องนี้กันหรอก เนื่องจากสิ่งที่พูดจากันส่วนใหญ่แล้วเป็นเกี่ยวกับ “การปฏิรูป” ภาษี (ซึ่งรวมไปถึงการลดภาษีให้แก่คนร่ำรวยและพวกบริษัทต่างๆ ด้วย) และ “การปฏิรูปด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ” (reforming entitlements ) ที่เป็นวลีสำหรับใช้กลบเกลื่อนการบั่นทอนมาตรการทางด้านการประกันสังคมให้อ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่สามารถจัดทำข้อตกลงฉบับใหม่กันได้แล้ว เริ่มตั้งแต่ปีหน้า สหรัฐฯก็จะใช้จ่ายด้านการทหารลดน้อยลงไปถึงราวปีละ 50,000 ล้านดอลลาร์ทีเดียว

รัฐมนตรีกลาโหม เลียน เพเนตตา ของสหรัฐฯ ได้เรียกการตัดลดเช่นนี้ว่าเป็นเสมือน “วันสิ้นโลก” แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ? การตัดลดดังกล่าวนี้ซึ่งจะต้องดำเนินไปเป็นเวลา 10 ปี โดยที่ตัวเลขจะต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อในช่วงปีนั้นๆ ด้วยนั้น ในที่สุดแล้วก็เพียงแต่จะทำให้งบประมาณของกระทรวงกลาโหมอเมริกันถอยหลังกลับไปสู่ระดับที่เคยได้ในปี 2006 หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ มันยังคงอยู่ในระดับสูงที่สุดไม่ว่าจะเทียบกับช่วงเวลาใดก่อนหน้านั้นย้อนหลังไปจนถึงระยะที่เกิดสงครามโลกครั้งที่สอง

มาตรการที่ระบุใน “หน้าผาการคลัง” จะมีการตัดงบประมาณการทหารของสหรัฐฯลงไปประมาณ 8% จากระดับที่อยู่ในปัจจุบัน ขณะที่ในสงครามครั้งอื่นๆ ทุกๆ ครั้ง (สงครามโลกครั้งที่สอง, สงครามเวียดนาม, และสงครามอื่นๆ ถัดจากนั้น) ล้วนแล้วแต่ตามหลังมาด้วยการลดขนาดงบประมาณกลาโหมลงไปทั้งสิ้น โดยที่หลายๆ ช่วงทีเดียวมีการตัดลดกันสูงกว่านี้เสียอีก ทั้งนี้ในเวทีการประชุมที่สถาบันทหารเรือสหรัฐฯ ครั้งเดียวกันกับที่ ลินน์ ไปปราศรัยนั้นเอง อดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯอีกผู้หนึ่งซึ่งทำหน้าที่กำกับตรวจสอบงบประมาณทหารอยู่ในสำนักงานการบริหารและการงบประมาณ (Office of Management and Budget) ของทำเนียบขาว ได้คาดคำนวณตัวเลขออกมาว่า ระหว่างทศวรรษปัจจุบันนี้จะมีการตัดลดงบประมาณกลาโหมลงประมาณ 30% ด้วยซ้ำไป

ต้องยอมรับว่า การตัดลดค่าใช้จ่ายทางการทหาร หากบังเกิดขึ้นโดยที่ปราศจากข้อตกลงสร้างความสมดุลทางงบประมาณฉบับใหม่ใดๆ เลย ย่อมเป็นวิธีการที่เลวในการบริหารกิจการรัฐบาล ข้อบกพร่องฉกรรจ์ประการหนึ่งที่มองเห็นได้ก็คือ การลดงบประมาณกลาโหมเช่นนี้ มีเงื่อนไขผูกพันว่าจะต้องมีการตัดทอนงบประมาณในโครงการใช้จ่ายอื่นๆ ของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯเกือบจะทุกๆ โครงการ ในสัดส่วนที่ทัดเทียมกัน ---ไม่ว่าจะเป็นโครงการการตรวจสอบความปลอดภัยทางอาหาร, การจัดฝึกอบรมให้แก่ผู้หางานทำ, การควบคุมการจราจรทางอากาศ, การวิจัยด้านการดูแลสุขภาพ, อันล้วนแต่เป็นเรื่องดีๆ จำเป็นๆ ทั้งสิ้น

ข้อบกพร่องฉกาจฉกรรจ์อีกประการหนึ่งได้แก่ เรื่อง “หน้าผาการคลัง” นี้ ทั้งหลายทั้งปวงมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การลดการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯให้ต่ำลง แต่ก็อย่างที่พลเมืองชาวอเมริกันส่วนข้างมากได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วในการเลือกตั้งที่เพิ่งผ่านพ้นไปตอนต้นเดือนพฤศจิกายน พลเมืองชาวอเมริกันส่วนใหญ่นั้นมีความคิดว่าเวลานี้เรื่องการสร้างงานต้องถือเป็นเรื่องสำคัญยิ่งกว่าเรื่องการขาดดุลงบประมาณ

การเอาแต่ตัดลดเพียงด้านเดียวจะไม่ทำให้มีการสร้างงานขึ้นมา สหรัฐฯยังจะต้องหันเหทิศทางการใช้จ่ายเงินภาษีอากรของประชาชนอเมริกัน ออกมาจากพวกโครงการที่ชาวอเมริกันส่วนข้างมากไม่ได้มีความต้องการหรือมองเห็นความจำเป็น อย่างเช่นพวกโครงการไร้ประโยชน์ของกระทรวงกลาโหม แล้วหันมาทุ่มเทงบประมาณที่ประหยัดได้ให้แก่สิ่งที่ชาวอเมริกันต้องการและมองเห็นว่าจำเป็น เป็นต้นว่า โครงการพลังงานสะอาด และโครงการปรับปรุงด้านการขนส่ง

สหรัฐฯมีเงินทองมากเพียงพอที่จะทำเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะสหรัฐฯไม่ได้กำลังอยู่ในภาวะถังแตกเลย เพียงแต่สหรัฐฯจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับความสำคัญทางด้านงบประมาณของตนเสียใหม่ สถาบันเพื่อการศึกษานโยบาย (Institute for Policy Studies) ได้เสนอกรอบโครงสำหรับการดำเนินการในเรื่องนี้เอาไว้แล้วในรายงานฉบับหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ (รายงานเรื่อง “เราไม่ได้กำลังอยู่ในภาวะถังแตก: คำชี้แนะแบบสามัญสำนึกเพื่อการหลบหลีกให้พ้นจาการถูกหลอกลวงต้มตุ๋นทางด้านการคลัง ขณะเดียวกับที่ทำให้สหรัฐฯมีความเสมอภาคมากขึ้น, มีสีเขียวมากขึ้น, และมีความมั่นคงยิ่งขึ้น” We're Not Broke: A commonsense guide to avoiding the fiscal swindle while making the United States more equitable, green, and secure) ข้อเสนอนี้ครอบคลุมถึงการตัดลดงบประมาณด้านกลาโหมปีละ 198,000 ล้านดอลลาร์ ---ตั้งแต่การใช้จ่ายในสิ่งต่างๆ อย่างเช่นสงครามซึ่งสหรัฐฯไม่สมควรเข้าไปทำการสู้รบเลย ไปจนถึงพวกระบบอาวุธและพวกฐานทัพในต่างแดนซึ่งสหรัฐฯไม่ได้มีความจำเป็น

มาตรการต่างๆ เหล่านี้จะทำให้งบประมาณการทหารของสหรัฐฯลดลงมาได้ 30% ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมของสหรัฐฯในศตวรรษใหม่นี้ ลดขนาดลงมาอยู่ในระดับสอดคล้องกับการลดขนาดที่บังเกิดขึ้นในศตวรรษที่แล้ว นี่เป็นขั้นตอนที่จำเป็นสำหรับการสร้างฐานตำแหน่งงานต่างๆ อย่างยั่งยืนซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกาต้องการเหลือเกิน

มีเรียม เพมเบอร์ตัน เป็นนักวิจัยอยู่ใน สถาบันเพื่อการศึกษานโยบาย (Institute for Policy Studies) และเป็นผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำรายงานเรื่อง “เราไม่ได้กำลังอยู่ในภาวะถังแตก: คำชี้แนะแบบสามัญสำนึกเพื่อการหลบหลีกให้พ้นจาการถูกหลอกลวงต้มตุ๋นทางด้านการคลัง ขณะเดียวกับที่ทำให้สหรัฐฯมีความเสมอภาคมากขึ้น, มีสีเขียวมากขึ้น, และมีความมั่นคงยิ่งขึ้น” ( We're Not Broke: A commonsense guide to avoiding the fiscal swindle while making the United States more equitable, green, and secure)

(ข้อเขียนชิ้นนี้ ก่อนหน้านี้ได้รับการเผยแพร่อยู่ใน Foreign Policy In Focus อันเป็นโครงการหนึ่งของสถาบันเพื่อการศึกษานโยบาย)
กำลังโหลดความคิดเห็น