xs
xsm
sm
md
lg

IMF เตือนต้องหั่นจีดีพีทั่วโลกต่ออีก ถ้าวิกฤตยุโรป-สหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอเจนซีส์ - กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ลดตัวเลขคาดการณ์อัตราเติบโตเศรษฐกิจโลก พร้อมเตือนสถานการณ์จะเลวร้ายลงหากวิกฤตยูโรโซนและ ภาวะ “หน้าผาการคลัง” ในสหรัฐฯ ยังไม่คลี่คลาย สำหรับเอเชียนั้น รายงานระบุว่าความพยายามของจีนในการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ค่อยจะประสบผล ขณะที่ไทยจะมีการปรับตัวในแง่บวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราเติบโตปีที่แล้ว สืบเนื่องจากโครงการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูหลังน้ำลด

ในรายงานทิศทางแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook หรือ WEO) ฉบับล่าสุดที่ไอเอ็มเอฟนำออกเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (9) ได้ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจโลกในปีนี้อยู่ที่ 3.3% จาก 3.5% ที่ประเมินไว้ในเดือนกรกฎาคม และ 3.6% สำหรับปีหน้า จากตัวเลขเดิม 3.9% ทั้งนี้ ปกติไอเอ็มเอฟออกรายงาน WEO ปีละ 2 ฉบับ แต่อาจมีออกรายงานปรับปรุงทันสมัยเพิ่มเติมหากเห็นว่าจำเป็น

สำหรับรายงานฉบับล่าสุดนี้ ซึ่งออกมาก่อนการประชุมประจำฤดูใบไม้ร่วงของไอเอ็มเอฟและธนาคารโลกสัปดาห์นี้ที่กรุงโตเกียว ได้กล่าวเตือนด้วยว่า การคาดการณ์อัตราเติบโตดังกล่าว วางอยู่บนสมมติฐานที่ว่า ผู้นำยุโรปสามารถสะสางวิกฤตได้อยู่หมัดในเร็วๆ นี้ ขณะที่พวกนักการเมืองอเมริกันสามารถหลีกเลี่ยงภาวะ “หน้าผาทางการคลัง” (fiscal cliff) ซึ่งหมายถึงการที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ หมดอายุลงในสิ้นปีนี้โดยที่ไม่มีมาตรการใหม่มารองรับ แถมยังจะต้องทำตามมาตรการรลดการใช้จ่ายครั้งใหญ่และขึ้นภาษีในต้นปีหน้าอีกด้วย เพราะหากเรื่องเหล่านี้ไม่มีความคลี่คลายแล้ว ก็อาจต้องมีการปรับลดตัวเลขจีดีพีโลกกันอีก

รายงานของไอเอ็มเอฟชี้ว่า นโยบายสำคัญเร่งด่วนสำหรับสหรัฐฯ ควรรวมถึงการหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาทางการคลังอัน จะทำให้เกิดการหดตัวทางการคลังคิดเป็นมูลค่าเท่ากับกว่า 4% ของจีดีพีในปีหน้า และการเติบโตก็จะชะงักงัน ขณะที่สำหรับการแก้ไขวิกฤตยูโรโซนนั้น จำเป็นต้องมีความคืบหน้าในการดำเนินมาตรการต่างๆ ที่หารือกันไว้ ซึ่งรวมถึงการก่อตั้งสหภาพการธนาคารและการคลัง

สิ่งที่ไอเอ็มเอฟระบุในรายงานฉบับนี้ เป็นการตอกย้ำความกังวลของธนาคารโลกซึ่งปรากฏอยู่ในรายงานซึ่งออกมาเมื่อวันจันทร์ (8) และของธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ในรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่ว่า ความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะวิกฤตยูโรโซนและหน้าผาทางการคลังของสหรัฐฯ กำลังส่งผลให้อุปสงค์ภายนอกลดลงเกินคาดหมาย ยิ่งเมื่อบวกกับภาวะชะลอตัวในจีนและอินเดีย ก็ยิ่งฉุดลากเศรษฐกิจเอเชียให้ย่ำแย่

ในรายงานล่าสุดนี้ ไอเอ็มเอฟคาดว่าจีดีพีของบรรดาเศรษฐกิจกำลังพัฒนาของเอเชียในปีนี้และปีหน้าจะอยู่ที่ 6.7% และ 7.2% เทียบกับที่เคยคาดหมายเมื่อ 3 เดือนก่อนที่ 7.1% และ 7.5% ตามลำดับ

เฉพาะจีน ตัวขับเคลื่อนหลักของภูมิภาคนั้น รายงานนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 7.8% ในปีปัจจุบัน และ 8.2% ในปีต่อไป จากที่เคยคาดไว้ที่ 8.0% และ 8.5% ตามลำดับ

เท่าที่ผ่านมา แดนมังกรได้พยายามใช้มาตรการทางการเงินในการกระตุ้นการเติบโต เป็นต้นว่าในปีนี้ได้ลดอัตราดอกเบี้ยสำคัญไป 2 ครั้ง และตัดลดอัตราส่วนเงินทุนที่พวกธนาคารต้องฝากไว้กับแบงก์ชาติ “อย่างไรก็ดี การผ่อนคลายเช่นนี้ยังไม่ได้ก่อให้เกิดผลในทางการฉุดลากเศรษฐกิจอย่างที่เคยคาดหมายไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ของปีนี้” ไอเอ็มเอฟบอก

รายงานแจงต่อไปว่า การเติบโตชะลอตัวในจีนได้ส่งผลต่อกิจกรรมเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านอื่นๆ ในเอเชีย พร้อมเตือนว่า ไม่มีแนวโน้มที่แดนมังกรจะสามารถฟื้นอัตราเติบโตที่เป็นตัวเลข 2 หลักได้ ในขณะที่ปักกิ่งพยายามเปลี่ยนจากการพึ่งพิงการส่งออกมาใช้ดีมานด์ภายในขับเคลื่อนการเติบโตแทน

ไอเอ็มเอฟคาดว่า จีดีพีญี่ปุ่นปีนี้จะขยายตัว 2.2% อันเป็นผลจากมาตรการใช้จ่ายหลังมหาภัยพิบัติต้นปีที่แล้ว แต่เมื่อถึงปีหน้าจีดีพีจะอ่อนตัวลงอยู่ที่ 1.2% ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคม ไอเอ็มเอฟคาดการณ์อัตราเติบโตแดนปลาดิบไว้ที่ 2.4% และ 1.5% สำหรับปีนี้และปีหน้าตามลำดับ

รายงานระบุว่า การผ่อนคลายทางการเงินอาจช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้ แต่จำเป็นต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับภาวะเงินฝืด นอกจากนั้น ไอเอ็มเอฟยังแสดงความกังวลต่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจากความบาดหมางระหว่างญี่ปุ่นกับจีน

ส่วนเศรษฐกิจอินเดียมีแนวโน้มเติบโต 4.9% ในปีนี้และ 6.0% ในปีหน้า โดยไอเอ็มเอฟระบุว่า ปัญหามาจากการลงทุนชะงักงันอันเป็นผลสืบเนื่องจากความล่าช้าในระบบราชการ ความเชื่อมั่นของธุรกิจเสื่อมถอย และค่าเงินรูปีอ่อน

อย่างไรก็ตาม โอลิวิเยร์ บลองชาร์ด หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจีนและอินเดียจะทรุดฮวบอย่างรวดเร็ว

อนึ่ง เมื่อวันจันทร์ ธนาคารโลกได้ปรับลดแนวโน้มการเติบโตของประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกอยู่ที่ 7.2% โดยชี้ว่าสาเหตุมาจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่ถือว่าอ่อนแอที่สุดในรอบ 13 ปี

ย้อนกลับไปกลางสัปดาห์ที่แล้ว เอดีบีลดแนวโน้มการเติบโตตลาดเกิดใหม่ในเอเชียสู่ระดับต่ำสุดนับจากปี 2009 พร้อมเตือนความเสี่ยงสำคัญจากปัญหาในยุโรปและอเมริกา

สำหรับเศรษฐกิจ 5 ชาติใหญ่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม รายงานไอเอ็มเอฟบอกว่า การส่งออกที่ชะลอลงจะเป็นตัวฉุด อย่างไรก็ดี ไทยและฟิลิปปินส์จะมีการปรับตัวที่ดีในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยกรณีไทยนั้นได้แรงหนุนจากโครงการฟื้นฟูและการลงทุนหลังเกิดอุทกภัยร้ายแรงปลายปีที่ผ่านมา

ไอเอ็มเอฟบอกว่า โดยรวมแล้ว 5 ชาตินี้จะมีอัตราเติบโต 5.4% ในปีนี้และ 5.8% ในปีหน้า จากที่เคยขยายตัวเพียง 4.5% ในปี 2011 ส่วนเฉพาะไทย ปีนี้คาดว่าจะโตได้ 5.6% และปีหน้า 6.0% จากที่ทำได้เพียง 0.1% ในปีที่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น