เอเอฟพี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ – จีนระบุในวันอาทิตย์ (23) เลื่อนการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์การทูตขั้นปกติระหว่างปักกิ่งกับโตเกียวออกไปอย่างไมมีกำหนด ทำให้บรรยากาศการคบหาสมาคมกันระหว่างยักษ์ใหญ่เอเชีย 2 ชาตินี้ยังคงอยู่ในสภาพอึมครึม อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าคำขู่ของแดนมังกรที่จะคว่ำบาตรการค้าต่อแดนปลาดิบนั้น เป็นเพียงการเขียนเสือให้วัวกลัว เนื่องจากมีเดิมพันสูงต่อเศรษฐกิจจีนเอง
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งจากสมาคมมิตรภาพจีนกับต่างประเทศว่า แดนมังกรตัดสินใจเลื่อนพิธีฉลองวาระครบรอบ 40 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับญี่ปุ่นที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 เดือนนี้ออกไปจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม ด้วยเหตุผลจากกรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะ ที่จีนเรียกว่า เตี้ยวอี๋ว์ ขณะที่ในญี่ปุ่นเรียกชื่อว่า เซงกากุ
ทางด้านสำนักข่าวจิจิเพรสของญี่ปุ่น ก็รายงานข่าวตรงกัน แต่อ้างแหล่งข่าววงในเผยว่า ถัง เจียซวน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ยังคงพร้อมพบปะกับตัวแทนของญี่ปุ่น หากกลุ่มชาวญี่ปุ่นที่สนับสนุนสัมพันธ์ญี่ปุ่น-จีน ส่งตัวแทนไปยังปักกิ่ง
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สมาคมมิตรภาพจีนกับต่างประเทศนั้น มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศจีน ทว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศจีนที่เอเอฟพีติดต่อสอบถาม ยังคงไม่ยืนยันเรื่องการเลื่อนพิธีฉลองออกไปนี้ อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวทางการทูตรายหนึ่งในกรุงโตเกียว ยืนยันกับเอเอฟพีว่า จีนได้แจ้งให้ฝ่ายญี่ปุ่นทราบแล้วเรื่องการชะลอพิธีไปก่อนนี้
ก่อนหน้านี้ในวันเสาร์ (22) ชาวญี่ปุ่นราว 800 คนได้ออกมาเดินขบวนผ่านย่านใจกลางกรุงโตเกียว เพื่อคัดค้านการจัดการกับกรณีพิพาทหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์/เซงกากุ ของจีน ภายหลังที่มีกระแสต่อต้านญี่ปุ่นสะพัดไปทั่วแดนมังกร
ผู้ประท้วงชาวญี่ปุ่นเหล่านี้ พากันถือธงชาติขณะเดินขบวนผ่านย่านบันเทิงซึ่งอยู่ใกล้ๆ สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงโตเกียว พวกเขาประณามปักกิ่งว่าเป็น “รัฐป่าเถื่อนไร้เหตุผล” และ เป็นพวก “ฟาสซิสต์” ตลอดจนตะโกนคำขวัญว่า “เราจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อการข่มขู่ด้วยกำลังทหารของจีน!”
ทางด้านแดนมังกร แม้ไม่มีรายงานการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านญี่ปุ่นอีกในระยะสองสามวันที่ผ่านมา แต่ที่ไต้หวันเมื่อวันอาทิตย์ ได้มีผู้ชุมนุมเดินขบวนหลายร้อยคนจากพรรคการเมืองและกลุ่มประชาชนฝ่ายขวา ออกมาประท้วงต่อต้านญี่ปุ่น โดยได้เดินผ่านห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในกรุงไทเป ซึ่งมีชื่อเรื่องขายสินค้าเมดอินแจแปน
ชาวไต้หวันเหล่านี้ ถือแผ่นป้ายแลแผ่นผ้าประณามญี่ปุ่น พร้อมตะโกนคำขวัญว่า “จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นจงพินาศ!” ตลอดจนยืนยันว่า เกาะเตี้ยวอี๋ว์เป็นของจีน
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สัมพันธภาพระหว่างจีนกับญี่ปุ่นร้าวฉานรุนแรงเช่นนี้ โดยที่สื่อมวลชนของทางการแดนมังกรออกมาขู่คำรามว่า แดนปลาดิบจะต้องบาดเจ็บหนักในทางเศรษฐกิจ ทว่าพวกนักวิเคราะห์ก็มองว่า ฝ่ายจีนเองก็จะต้องสูญเสียมากเช่นกัน หากพยายามใช้มาตรการคว่ำบาตรเศรษฐกิจอย่างจริงจังใดๆ ต่อญี่ปุ่น
หนังสือพิมพ์เหรินหมึนรึเป้า ที่เป็นกระบอกเสียงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ประกาศท่าทีของแดนมังกรว่าจะไม่ยอมอ่อนข้อในกรณีพิพาทนี้
“ท่ามกลางการต่อสู้ในประเด็นที่แตะต้องเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดน ถ้าหากญี่ปุ่นยังขืนยั่วยุต่อไป จีนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต่อสู้” เหรินหมินรึเป้าระบุ พร้อมกับคำรามว่า “เศรษฐกิจญี่ปุ่นนั้นไม่มีภูมิคุ้มกันเมื่อต้องเผชิญมาตรการทางเศรษฐกิจของจีน”
แม้หนังสือพิมพ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนฉบับนี้ยอมรับว่า เนื่องจากในทางเศรษฐกิจจีนกับญี่ปุ่นต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ ดังนั้นการคว่ำบาตรย่อมจะเป็น “ดาบสองคม” สำหรับจีนด้วย แต่เหรินหมินรึเป้าก็ตั้งคำถามว่า “ญี่ปุ่นต้องการที่จะสูญเสียเวลาไปอีก 10 ปี หรือกระทั่งถอยหลังไปอีก 20 ปีกระนั้นหรือ” ซึ่งเป็นการพาดพิงถึงช่วง 10 ปีที่ฟองสบู่ในตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นแตก และเรียกกันในญี่ปุ่นว่าเป็น “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า”
ทั้งนี้ นอกเหนือจากการตั้งกำแพงภาษีอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเป็นอาวุธที่ประเทศใดๆ ก็อาจงัดขึ้นมาใช้ในกรณีที่เกิดการขัดแย้งทางการค้าแล้ว ปักกิ่งยังมีมาตรการอื่นๆ ซึ่งจะเป็นการสร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้นำเข้า
ตัวอย่างเช่นในเดือนพฤษภาคม เมื่อมะนิลากับปักกิ่งเผชิญหน้ากันจากกรณีพิพาทเรื่องหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ผู้ส่งออกผลไม้แดนตากาล็อกร้องเรียนว่าผลไม้ที่จัดส่งไปแดนมังกรถูกปล่อยให้เน่าเสียที่ท่าเรือจีน โดยที่มีการระบุว่าพบแมลงในสินค้าบางส่วน ซึ่งปูทางให้จีนเพิ่มมาตรการตรวจสอบและกักกันที่เข้มงวดและวุ่นวายมากขึ้น
หากพิจารณาเฉพาะบนแผ่นกระดาษ ถ้าเกิดการต่อสู้ตอบโต้กันในทางเศรษฐกิจแล้ว จีนดูเหมือนเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่จะเติบโตต่อเนื่องอีกหลายปี ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่ปี 1990
ปี 2010 ที่จีนแย่งตำแหน่งประเทศเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกมาจากญี่ปุ่น และในเวลานี้แดนปลาดิบเป็นเพียงคู่ค้าอันดับ 4 ของจีนรองจากสหรัฐฯ สหภาพยุโรป (อียู) และอาเซียน ขณะที่จีนถือเป็นตลาดใหญ่สุดของญี่ปุ่น
ทว่า นักเศรษฐศาสตร์เห็นพ้องว่า ด้วยมูลค่าการค้าสองทางที่สูงลิ่วถึง 342,900 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ปักกิ่งก็อาจไม่สามารถแบกรับต้นทุนจากการคว่ำบาตรญี่ปุ่นได้
เจเรมี สตีเวนส์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำปักกิ่งของสแตนดาร์ด แบงก์ กรุ๊ปของแอฟริกาใต้ มองว่าทั้งสองฝ่ายต่างตระหนักถึงผลร้ายที่จะเกิดกับทั้งคู่
ทั้งนี้แม้สินค้าเมด อิน ไชน่าถูกส่งไปจำหน่ายทั่วโลก แต่ส่วนประกอบของสินค้าสำเร็จรูปเหล่านั้นไม่ได้ผลิตในประเทศทั้งหมด เช่น โทรศัพท์มือถือ ทีวี และกล้องวิดีโอ ล้วนแต่ใช้ชิ้นส่วนไม่ใช่น้อยของบริษัทไฮเทคญี่ปุ่น
ดังนั้น การตอบโต้ต่อบริษัทญี่ปุ่นอาจส่งผลกลับมายังบริษัทจีนที่พึ่งพิงโนว-ฮาวจากแดนอาทิตย์อุทัย
“การทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นอ่อนแอลงจะส่งผลสะท้อนกลับมายังผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของจีนเอง และผู้นำจีนตระหนักในเรื่องนี้ดี” ศาสตราจารย์อีแวน เซลิกต์เชฟ จาก นิอิกาตะ ยูนิเวอร์ซิตี้ ออฟ แมเนจเมนต์ในญี่ปุ่น กล่าวและเสริมว่า คำขู่ของจีนหวังผลทางจิตวิทยาเป็นส่วนใหญ่ และจะไม่มีการตอบโต้ทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่แต่อย่างใด
“อย่างไรก็ตาม ผมคงไม่แปลกใจถ้าปักกิ่งจะดำเนินการเชิงสัญลักษณ์ในแง่เศรษฐกิจบางอย่างเพื่อแสดงความไม่พอใจ เช่น ระงับโครงการลงทุนบางอย่างหรือการนำเข้า-ส่งออกบางรายการ”
นั่นคือสิ่งที่ อิโตชูและโซจิตซ์ บริษัทการค้าของญี่ปุ่นระบุว่าเกิดขึ้นแล้วเมื่อวันศุกร์ (21) กล่าวคือด่านศุลกากรจีนในท่าเรือสำคัญๆ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าญี่ปุ่น ซึ่งทำให้เสียเวลาและยุ่งยากมากขึ้น