“การตั้งประเทศหนึ่งๆ นั้น ต้องใช้ระยะเวลามากกว่า 1,000 ปี ทว่า ตามประวัติศาสตร์ชาติไทยที่เคยศึกษามานั้น กลับมีเพียงแค่ 800 ปี โดยนับตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หากอ้างอิงจากเอกสารจีนแล้วนั้น เป็นไปได้ว่า ชาติไทยเราอาจก่อตั้งมานานกว่า 800 ปี ก็เป็นได้”
อาจารย์ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เสนอหลักฐานเอกสารทางประวัติศาสตร์ เพื่อเสวนาในหัวข้อ “ประวัติความสัมพันธ์ไทย-จีนในเอกสารจีน” เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2555 ณ ห้อง 301 ตึกคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ภายใต้ความร่วมมือของ โครงการปริญญาโทวัฒนธรรมจีนศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาศรมสยาม - จีนวิทยา โรงเรียนภาษาและภูมิปัญญาตะวันออก OKLS และศูนย์ฮากกาศึกษา
อาจารย์ประพฤทธิ์ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาการสืบค้นประวัติศาตร์ไทยในเอกสารจีนของสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อปีพ.ศ. 2540 ท่านจึงได้สืบค้นหลักฐานเอกสารจีนมากมายที่บันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับไทยทุกยุคสมัย ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนทางวิชาการกับนักวิชากรต่างประเทศ ในการสืบค้นและเสาะหาหลักฐานประวัติศาสตร์ภาษาจีนที่เกี่ยวกับไทย ซึ่งหายากหรือหามิได้ในประเทศไทย
จากการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว ก็ได้พบสิ่งที่บ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ไทย-จีนในเอกสารจีนโบราณ ซึ่งมีอายุเก่าแก่ ถึงกว่า 2,200 ปี นั่นก็หมายถึงว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีน มีมายาวนานกว่า 2,200 ปี และประวัติศาสตร์อาณาจักรสยาม ก็เก่าแก่โบราณกว่า 700-800 ปี ที่โดยทั่วไปนับจากวันสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยในปีพ.ศ.1792
เอกสารจีนที่อาจารย์ประพฤทธิ์ ได้หยิบยกขึ้นมาชี้ถึงประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน ได้แก่“ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นฉบับหลวง” เขียนถึงประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (ก่อนค.ศ. 205 - ค.ศ. 25/ก่อนพ.ศ.748-568) แต่งโดย ปันกู้ ซึ่งในบรรพ 28 ว่าด้วยภูมิศาสตร์ มีเนื้อหาระบุการเดินเรือผ่านไปยังดินแดนต่างๆว่า
“จากจั้งไส้ของยื่อหนาน กล่าวคือ สีเหวิน และเหอผู่ เดินทางโดยเรือ เป็นระยะเวลา 5 เดือน มีอาณาจักรตูหยวน และเมื่อเดินทางโดยเรือต่อไปอีก 4 เดือน มีอาณาจักรอี้หลูม่อ ครั้นเดินทางโดยเรืออีก 20 วันเศษ มีอาณาจักรเฉินหลี หรือสินหลี ต่อมาเดินเท้าต่อไปอีก 10 วันเศษ มีอาณาจักรฟูกานตูหลู จากนั้นเดินทางโดยเรืออีก 2 เดือนเศษ มีอาณาจักรหวงจือ ขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงกับจูหยา ฯลฯ” (ฉบับแปล โดย อ.ประพฤทธิ์)
กลุ่มนักวิชาการได้สันนิษฐานสถานที่ตั้งปัจจุบันของอาณาจักรต่างๆ ในเนื้อหาข้างต้น ดังนี้
- อาณาจักตูหยวน น่าจะอยู่ที่เมืองใดเมืองหนึ่งของดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง ในประเทศเวียดนาม หรืออยู่ที่จ.เพชรบุรี จ.ปราจีนบุรี หรือบริเวณด้านเหนือคอคอดกระ
- อาณาจักรอี้หลูม่อ น่าจะอยู่ที่จ.ราชบุรี หรือบริเวณจ.กระบี่ จ.พังงา จ.ระนอง และมีบางส่วนอยู่ในพม่า หรือเมืองเก่าอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จ.ลพบุรี หรือในเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย
- อาณาจักรเฉินหลี หรือสินหลี น่าจะอยู่ที่จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.กาญจนบุรี จ.นครปฐม หรือบริเวณพะโค หรือบริเวณเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า
อาจารย์ประพฤทธิ์ อธิบายต่อว่า การเดินเรือสำเภาในสมัยโบราณกว่า 2,000 ปี ซึ่งขนาดเรือไม่ใหญ่มาก ต้องใช้เวลายาวนานมาก เนื่องจาก มีข้อจำกัดทางความรู้ความชำนาญของผู้สร้างเรือ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีเข็มทิศเดินเรือ ความชำนาญในการเดินเรือโดยจำเป็นต้องแล่นเลาะตามชายฝั่งทะเล หรือจากเกาะหนึ่งข้ามไปอีกเกาะหนึ่ง นอกจากนี้ ตลอดทางต้องแวะเติมเสบียงและน้ำจืด และจอดแวะตามรายทางเพื่อค้าขาย
อาทิ การเดินทางจากเหอผู่ถึงเมืองไซ่ง่อน (โฮจิมินห์) เป็นระยะทาง 2148.32 กม. อาจต้องใช้เวลา 5 เดือน และจากไซ่ง่อน ถึงจังหวัดลพบุรี ประเทศไทย ระยะทางประมาณ 1,666.8 กม. อาจต้องใช้เวลาเดินทาง 4 เดือน
เอกสารจีนฉบับต่อมาคือ หนังสือ “อี้อู้จื้อ” เขียนขึ้นใสมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ.25-220/พ.ศ.568-763) แต่งโดย หยาง ฝู ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ปรากฎชื่อ อาณาจักร “จินหลิน หรือจินเฉิน” แปลว่า “อาณาจักรทองคำ” ตั้งอยู่ห่างจากฝูหนัน (กัมพูชา) เป็นระยะทาง 2,000 ลี้ (เท่ากับ 1,000 กม.) ดังนั้น อาณาจักรแห่งนี้น่าจะอยู่ในบริเวณประเทศไทย โดยสถานที่ตั้งตามความเห็นของนักวิชาการ ได้แก่ อยู่ที่เมืองอู่ทองโบราณ จ.สุพรรณบุรี จ.ราชบุรี หรือจ.นครปฐม (เป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุวรรณภูมิในสมัยนั้น)
หนังสือ “อี้อู้จื้อ” ได้บรรยายว่า "จินเฉิน เป็นดินแดนที่อุดมไปด้วยโลหะเงิน มีประชากรจำนวนมาก นิยมการล่าช้าง หากจับเป็นก็ใช้ขับขี่ ถ้าตายก็เอางา"
นอกจากนี้ ยังมี“ประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุย ฉบับหลวง” วิจัยและเรียบเรียงโดยขุนนางและนักปราชญ์แห่งยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907/พ.ศ.1161-1450) ภายใต้พระราชโองการของจักรพรรดิถังไท่จง (ค.ศ. 627 - 650/พ.ศ. 1170-1193) และ “หนังสือทงเตี่ยน” แต่งโดย ตู้ อิ้ว (ค.ศ. 735-812/พ.ศ. 1278-1355) อัครเสนาบดีสมัยราชวงศ์ถัง หนังสือเล่มนี้เป็นแบบฉบับของหนังสือประวัติเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม โดยในเอกสารทั้งสองเล่มนี้ ต่างกล่าวถึง “อ่าวใหญ่จินหลิน”
เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งทางภูมิประเทศ นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นว่า สถานที่ตั้งปัจจุบันของอ่าวใหญ่จินหลิน น่าจะเป็น อ่าวไทย (โดยมีข้อสันนิษฐานของนักวิชาการท่านอื่นๆ ที่แตกต่างกันออกไป บ้างว่าน่าจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน บางว่าอยู่ที่พม่าหรือแหลมมลายู)
เอกสารอีกชุดหนึ่งที่อาจารย์ประพฤทธิ์อ้างอิงถึง คือ “บันทึกดินแดนตะวันตกยุคราชวงศ์ถัง” แต่งโดยพระถังซำจั๋ง หนังสือ “ทงเตี่ยน” ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังฉบับหลวง ฉบับเก่า และประวัติศาสตร์ราชวงศ์ถังฉบับหลวง ฉบับใหม่ ล้วนกล่าวถึง “อาณาจักรตั้วหลัวปอตี่” ซึ่งอาณาจักรแห่งนี้ได้ส่งเครื่องราชบรรณาการ (จิ้มก้อง*) แก่ราชวงศ์เฉินในยุคอาณาจักรเหนือใต้เมื่อปีค.ศ. 583/พ.ศ. 1126 และได้ส่งให้แก่ราชวงศ์ถังปี ค.ศ. 638/พ.ศ. 1181 อีกด้วย
สำหรับสถานที่ตั้งอาณาจักรตั้วหลัวปอตี่ นักวิชาการบางกลุ่มเห็นว่าน่าจะตั้งอยู่ทางใต้ของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนบางกลุ่มเห็นว่า อาณาจักรแห่งนี้มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่จ.นครปฐม และมีดินแดนครอบคลุมถึงจ.ราชบุรี เมืองเก่าอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี จ.สิงห์บุรี จ.ชัยนาท และจ.นครสวรรค์
*จิ้มก้อง หรือการส่งเครื่องบรรณาการให้กับจีนนั้น อาจกล่าวได้ว่า ฝ่ายจีนต้องการแสดงอำนาจตน และประเทศที่ส่งมานั้นต้องการผลประโยชน์ทางการค้ากับจีน โดยในสมัยต้นราชวงศ์หมิงมีการส่งเข้ามามากที่สุด การส่งฯ เป็นการแสดงถึงความเคารพ ความจริงใจในการคบค้าสมาคม ซึ่งทางจีนไม่ได้คาดหวังว่ากับสิ่งของ และระยะเวลาการส่งแล้วแต่ความสะดวกของประเทศนั้นๆ เช่น ส่งปีละครั้ง 3 ปีครั้ง และสิ่งของบรรณาการส่วนใหญ่จะเป็นของพื้นเมืองของประเทศนั้นๆ เช่น สยามจะส่ง ไม้ฝาง พริกไทย ช้าง เต่าเขา ปะการัง และมีการส่งฝิ่นไป 3 ครั้ง
โปรดอ่าน "จีน - ไทย จับมือทางทหารมาแต่สมัยอยุธยา" ในหน้าที่ 2
จีน - ไทย จับมือทางทหารมาแต่สมัยอยุธยา
ในการบรรยายตอนสอง อาจารย์ประพฤทธิ์ บรรยายว่า นอกเหนือจากด้านภูมิศาสตร์ และสถานที่ตั้งที่ระบุในเอกสารจีนแล้ว ในด้านประวัติศาสตร์พันธมิตรทางการทหารจีน - ไทย ยังมีมาอย่างยาวนาน โดยแบ่งเป็นช่วงยุคสมัย ดังนี้
1. สมัยวั่นลี่ที่ 6 (ค.ศ. 1573 - 1620/พ.ศ. 2116-2163) ในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 - 1644/พ.ศ.1911-2187) มีโจรสลัดจีนชื่อว่า หลิน เต้าเฉียง มาที่เมืองปัตตานี แต่ถูกสยามปราบ จึงกลับไปปล้นสดมภ์ที่มณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ในขณะนั้นสยามอาสาช่วยจีนปราบโจรสลัด
2. ยุคสมเด็จพระมหาธรรมราชา (ค.ศ. 1583/พ.ศ. 2126) พม่ายกทัพรุกรานเมืองจีนหลายครั้ง จนล่วงมาถึงสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ค.ศ. 1591/พ.ศ. 2134 ตรงกับสมัยวั่นลี่ที่ 19 ของจีน) สยามอาสาร่วมมือกับจีนตีพม่า ทว่า ต่อมากลับไม่มีความคืบหน้าในการร่วมมือใดๆ
3. ยุคสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ค.ศ. 1593/พ.ศ. 2136) สยามมีความสามารถในการเดินเรือเป็นอย่างมาก ขณะนั้นญี่ปุ่นเข้าตีเกาหลี สยามจึงแสดงความจำนงแก่จีน จะส่งกำลังโจมตีญี่ปุ่น แต่ฝ่ายเสนาบดีของจีน มณฑลก่วงตง (ในขณะนั้นเป็นเมืองที่ดูแลประเทศแถบเอเชียอาคเนย์) ไม่เห็นด้วย เนื่องจากไม่มั่นใจในสมรรถนะการรบของสยามที่จะต้องไปรบกับญี่ปุ่นซึ่งระยะทางไกลมาก (อ้างอิงจาก เอกสารเกาหลี)
4. สมัยนายกรัฐมนตรี พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ในปีค.ศ. 1975/พ.ศ. 2518 กองทัพคอมมิวนิสต์ของกัมพูชาและเวียดนามรบชนะสหรัฐอเมริกา ท่านคึกฤทธิ์เกรงว่าไทยจะมีปัญหาตามมา กอปรทั้งในยุคนั้นจีนมีอำนาจเหนือกัมพูชาและเวียดนาม ท่านจึงขอเปิดความสัมพันธ์กับจีนเมื่อวันที่ 1 ก.ค.
ความสัมพันธ์ไทย - จีนในช่วงหลังสถานปนาความสัมพันธ์การทูตกันแล้ว จีน - ไทยได้เป็นพันธมิตรทางทหาร โดยเป็นไปในลักษณะพฤตินัยมากกว่าอย่างเป็นทางการ กล่าวคือ
สมัยนายกรัฐมนตรี พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในเดือนมี.ค. ปีค.ศ. 1978/พ.ศ. 2521 ได้ไปเยือนจีน เพื่อความมั่นคงของชาติ ต่อมา ในเดือนพ.ย. นายเติ้ง เสี่ยวผิงมาเยือนไทย ซึ่งเป็นการเยือนที่มีนัยความหมายมาก เนื่องจากเติ้งมีอำนาจมาก
เติ้งไปสหรัฐฯ บอกผู้นำอเมริกันว่าจีนจะสั่งสอนเวียดนาม และในเดือนก.พ.ค.ศ. 1979/พ.ศ. 2522 จีนก็เปิดสงครามสั่งสอนเวียดนาม ระหว่าง 17 ก.พ.-16 มี.ค. กองกำลังจีนจากมณฑลก่วงซี (กว่างซี) และอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) เข้าตีเวียดนาม เนื่องจากเวียดนามรุกล้ำเข้ามาแผ่นดินจีน และเข่นฆ่าชาวบ้าน
ในปีค.ศ. 1980/พ.ศ. 2523 มีการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำไทยและผู้นำทหารจีน ปีเดียวกันนี้ วันที่ 23 - 25 มิ.ย. กองกำลังเวียดนามรุกไทยที่จ.ปราจีนบุรี ต่อมาในวันที่ 26 มิ.ย. จีนจึงประณามการกระทำของเวียดนาม และแสดงท่าทีชัดเจนสนับสนุนฝ่ายไทย
ช่วงปีค.ศ. 1981/พ.ศ. 2524 ความสัมพันธ์ระหว่างจีน - ไทย ในด้านพันธมิตรทางการทหาร มีความใกล้ชิดและช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากขึ้น ผู้นำรัฐบาลและผู้นำทหารของสองฝ่ายได้เดินทางมาพูดคุยกัน อาทิ เดือนม.ค. จ้าง จื่อหยังมาเยือนประเทศไทย เดือนมี.ค. ผู้บัญชาการทหารจีน มาเยือนไทย เดือนพ.ค. พล.อ.เสริม ณ นคร นำคณะทหารเยือนจีน เดือนพ.ค. จ้าว จื่อหยังมาเยือนไทยอีกครั้ง
ความใกล้ชิดและร่วมมือทางทหารระหว่างไทย - จีนที่เป็นไปโดยพฤตินัยในช่วงดังกล่าว ดูเป็นเหตุให้เวียดนามไม่กล้ามาตอแยไทยอีก