xs
xsm
sm
md
lg

จีนเปิดเอ็กซ์โปจีน-อาเซียน มั่นใจดันยอดการค้าภูมิภาคทะลุ 5 แสนล. ดอลลาร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รองประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ขณะกล่าวสุนทรพจน์ ในที่ประชุมด้านการค้าและการลงทุน เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (จีน-อาเซียน เอ็กซ์โป) ที่เมืองหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยงานนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 25 กันยายน (ภาพซีอาร์ไอ)
เอเยนซี - รองประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน เปิดงานเอ็กซ์โปจีน-อาเซียน ย้ำประชาคมฯ ผนึกกำลังกันมากยิ่งขึ้น เพื่อพัฒนาเขตการค้าเสรี พร้อมมั่นใจบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกัน ที่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ได้ภายในปี 2558

สำนักข่าวซินหวารายงาน ( 22 ก.ย.) ว่า รองประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมด้านการค้าและการลงทุน เมื่อวันที่ 21 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันแรกของงานแสดงสินค้าจีน-อาเซียน (จีน-อาเซียน เอ็กซ์โป) ที่เมืองหนานหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง โดยจะมีไปจนถึงวันที่ 25 กันยายน อันมีใจความว่า ปีนี้ เป็นวาระครบรอบ 10 ปีแห่งการริเริ่มการเจรจาก่อตั้งเขตเสรีการค้าจีน-อาเซียน หรือ CAFTA และครบรอบปีที่ 2 ของการทำข้อตกลงการค้าเสรีจีน-อาเซียน ซึ่งที่ผ่านมาจีนและอาเซียน ได้ทำข้อตกลงด้านการค้าการลงทุนร่วมกันหลายฉบับ ขณะที่งานจัดแสดงสินค้าจีน-อาเซียน ก็ดำเนินติดต่อกันมา เป็นปีที่ 9 ในปีนี้ ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียนกระชับลึกซึ้งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จีนและอาเซียนควรผนึกกำลังกันมากยิ่งขึ้นเพื่อพัฒนาเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ) เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการรวมกลุ่มและความร่วมมือในระดับภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้แม้เพิ่งได้จัดตั้งเขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เป็นระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี แต่ก็มีความสำคัญมากขึ้นๆ เพราะครอบคลุมความเป็นอยู่ของประชาชนถึง 1.9 พันล้านคน พร้อมตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันที่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ได้ภายในปี 2558

รองประธานาธิบดีจีน กล่าวแสดงความหวังว่า ประชาคมอาเซียนจะดำเนินการข้อตกลงเอฟทีเอ ในรูปแบบที่หลากหลาย ปรับปรุงด้านการเปิดเสรี และการอำนวยความสะดวกสำหรับการค้าและการลงทุนมากขึ้น สนับสนุนภาคสินค้านำเข้า-ส่งออกอย่างเหมาะสม โดยใช้การเปิดประเทศ ความร่วมมือ ความเท่าเทียม และผลประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้จีนยังได้เปิดศูนย์กลางการค้าสินค้าโภคภัณฑ์จีน-อาเซียนในเมืองหนานหนิง มณฑลกว่างซี และเมืองอี้อู่ มณฑลเจ้อเจียง เพื่อเป็นช่องทางใหม่สำหรับบริษัทจากประเทศอาเซียน สามารถใช้เพื่อส่งเสริมสินค้าและเข้ามาเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดจีนได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันที่ 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้ได้ภายในปี 2558 ตามที่ได้กำหนดไว้

ขณะเดียวกัน นายสี ยังเรียกร้องให้ทั้งจีนและอาเซียน ใช้โอกาสจากปีแห่งความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างจีน-อาเซียน เสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีภายใต้กรอบการทำงานของเอฟทีเอให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ประสานความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมให้แน้นแฟ้นยิ่งขึ้น ส่งเสริมนโยบายและการสร้างขีดความสามารถ รวมทั้งเพิ่มนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษและพัฒนาการจัดสรรทรัพยากรภายในภูมิภาค

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานเกี่ยวกับประเด็นพิพาทดินแดนกับกลุ่มอาเซียน โดยรองประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ได้กล่าวให้ความมั่นใจกับกลุ่มอาเซียน ว่าจีนต้องการแก้ปัญหาพิพาททางทะเล ผ่านการเจรจาทางการทูตกันอย่างสันติวิธี

นายสี ได้กล่าวว่า จีนยังหนักแน่นในการปกป้องอธิปไตย ความมั่นคงและบูรณภาพเหนือดินแดนของตน และยังต้องการแก้ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นสิทธิอาณาเขต และสิทธิในการเดินเรือ ด้วยสันติวิธีผ่านการเจรจากันฉันท์มิตร

รายงานข่าวกล่าวว่า ในกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ มีข้อพิพาทแย่งชิงดินแดนทางทะเลกับจีนโดยตรงหลายชาติ เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ไต้หวัน และบรูไน ที่ต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่บางส่วนในทะเลจีนใต้ โดยต่างต้องการหารือในรูปแบบพหุภาคีกับจีนผลักดันหลักปฏิบัติทางทะเล เพื่อให้เกิดอำนาจต่อรองและได้ข้อกำหนดรวมสำหรับนำมาใช้เป็นหลักการบริหารจัดการแก้ไขข้อพิพาททางทะเล แต่จีนยืนกรานจะเจรจากับแต่ละประเทศในระดับทวิภาคีเป็นรายๆ ไปมากกว่าจะเจรจากับอาเซียนทั้งกลุ่ม

ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มอาเซียนแล้ว จีนยังมีปัญหาพิพาทแย่งชิงหมู่เกาะเตี้ยวอี่ว์ (เซ็งกากุ) กับญี่ปุ่น อันเริ่มปะทุรุนแรง หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นซื้อเกาะ 3 เกาะของเซ็งกากุจากเอกชนเมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมา โดยไม่ฟังคำประท้วงจากรัฐบาลจีน จนทำให้ชาวจีนชุมนุมต่อต้านญี่ปุ่นในหลายสิบเมืองนานถึง 8 วัน สร้างความเสียหายแก่สถานทูต และบรรดากิจการ โรงงาน ธุรกิจร้านค้าของญี่ปุ่นอย่างมหาศาลก่อนที่จะคลี่คลายสงบลงเมื่อวันพุธที่ผ่านมา

หลังเหตุการณ์นี้ สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เผยผลสำรวจพบบริษัทญี่ปุ่นในจีน 400 ราย ซึ่งมีผู้ตอบกลับ 261 ราย พบว่าร้อยละ 41 มีแผนถอนการผลิตไปตั้งฐานในประเทศอื่น โดยจะย้ายไปที่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย เพราะหวั่นความขัดแย้งบานปลายระยะยาว และบรรยากาศที่อาจกระทบต่อธุรกิจของญี่ปุ่นในจีน
กำลังโหลดความคิดเห็น