xs
xsm
sm
md
lg

‘ปักกิ่ง’อ่อนไหวมากขึ้นกับเสียงเรียกร้องหาสงคราม (ตอนจบ)

เผยแพร่:   โดย: เบรนดัน โอไรลีย์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

Beijing more sensitive to war tremors
By Brendan O'Reilly
17/09/2012

การตัดสินใจของโตเกียวที่จะพยายามเข้าควบคุมหมู่เกาะซึ่งพิพาทอยู่กับปักกิ่งในทะเลจีนตะวันออกให้แน่นหนารัดกุมยิ่งขึ้น ดูเหมือนจะกลายเป็นการคำนวณผิดพลาดอย่างร้ายแรง อันที่จริงแล้ว มันก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องผิดปกติธรรมดาอะไรหรอกที่พวกผู้ประท้วงในจีนกำลังส่งเสียงเรียกร้องต้องการทำสงครามกับญี่ปุ่น แต่สิ่งที่แตกต่างจากคราวก่อนๆ ในอดีตที่ผ่านมาอยู่ตรงที่ว่า ความแตกร้าวที่กำลังปรากฏให้เห็นในคณะผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทำให้ปักกิ่งมีความอ่อนไหวต่ออารมณ์ความรู้สึกของประชาชนเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน

*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนที่ 2 ซึ่งเป็นตอนจบ*

(ต่อจากตอนแรก)

ในขณะที่ปักกิ่งแสดงท่าทีดำเนินฝีก้าวต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมเพื่อท้าทายการควบคุมเหนือหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์/เซงกากุ ของฝ่ายญี่ปุ่นอยู่นั้น เราก็สามารถมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนว่า กระแสชาตินิยมที่กำลังกระพือพัดอย่างแรงกล้าในแดนมังกรคราวนี้ เป็นการโหมฮือกันทั่วทั้งโลกของคนจีนจริงๆ ทั้งนี้หลังจากที่รัฐบาลแดนอาทิตย์อุทัยตัดสินใจที่จะซื้อหมู่เกาะแห่งนี้แล้ว สาธารณรัฐจีนซึ่งตั้งฐานอยู่บนเกาะไต้หวัน ก็ประกาศถอนผู้แทนของตนออกจากกรุงโตเกียวเพื่อเป็นการประท้วง รัฐมนตรีต่างประเทศ ทิโมธี หยาง (Timothy Yang) ของสาธารณรัฐจีน ได้แถลงประณามนโยบายดังกล่าวนี้ของญี่ปุ่นอย่างดุดัน โดยกล่าวว่า “เราเรียกร้องอย่างแรงกล้าให้รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกความเคลื่อนไหวเช่นนี้ การกระทำตามอำเภอใจฝ่ายเดียวและอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายของญี่ปุ่น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่า สาธารณรัฐจีนเป็นเจ้าของหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์” [6]

นอกเหนือจากการแสดงการประท้วงในทางการทูตด้วยถ้อยคำดุเดือดรุนแรงจากทั้งสองฝ่ายของช่องแคบไต้หวัน (นั่นคือฝ่ายสาธารณรัฐประชาชนจีนบนแผ่นดินใหญ่ และฝ่ายสาธารณรัฐจีนบนเกาะไต้หวัน) แล้ว ทั่วทั้งอาณาบริเวณ “เกรตเตอร์ไชน่า” (Greater China หมายรวมถึงจีนแผ่นดินใหญ่, ไต้หวัน, ฮ่องกง, และมาเก๊า) ก็มีคนจีนจำนวนมากออกมาแสดงความโกรธกริ้วใส่ญี่ปุ่นเป็นการใหญ่ โดยที่ก่อนหน้านั้นหลายสัปดาห์ เป็นพวกนักเคลื่อนไหวนิยมจีนจากฮ่องกงนั่นเองที่นั่งเรือไปขึ้นบกที่หมู่เกาะพิพาทแห่งนี้ นอกจากนั้นเสียงเรียกร้องให้คนจีนคว่ำบาตรไม่ซื้อไม่ใช้สินค้าญี่ปุ่นก็กำลังได้รับการตอบรับดังก้องทีเดียว อย่างไรก็ตาม สิ่งซึ่งเป็นลางบอกเหตุในทางร้ายก็ปรากฏขึ้นมาด้วย โดยการประท้วงต่อต้านญี่ปุ่นในหลายๆ เมืองของจีนในระยะไม่กี่วันมานี้ได้แปรสภาพกลายเป็นการจลาจล ภาพของการเผารถยนต์ญี่ปุ่น (และภาพของเจ้าของรถซึ่งแต่งตัวดีกำลังร้องไห้น้ำตานอง) ถูกส่งกระจายไปทั่วสื่อสังคมของแดนมังกรด้วยความรวดเร็วยิ่งกว่าตัวการจลาจลเองด้วยซ้ำ ธงชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างสง่าโดดเด่นตามร้านค้าต่างๆ ทั่วประเทศ เคียงข้างกับแผ่นป้ายเขียนข้อความประณามต่อต้านญี่ปุ่น รัฐบาลญี่ปุ่นถึงกับต้องออกคำเตือนพลเมืองของตนที่อยู่ในจีน ให้ระมัดระวังตัวเพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้หลังจากที่ได้เกิดกรณีการโจมตีและการก่อกวนรังควาญ “อย่างร้ายแรง” ขึ้นมาเป็นจำนวนมาก [7]

เหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งซึ่งทำให้วิกฤตการณ์คราวนี้ดูมีภาพลักษณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก ได้แก่การที่ ชินอิชิ นิชิมิยะ (Shinichi Nishimiya) ผู้เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำจีนใหม่ๆ ได้เสียชีวิตที่กรุงปักกิ่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายนนี้ [8] นิชิมิยะเพิ่งได้รับมอบหมายให้รับตำแหน่งหน้าที่นี้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน บรรดาผู้มีอำนาจรับผิดชอบของทั้งสองประเทศ ต่างปฏิเสธความเป็นไปได้ที่จะมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันระหว่างการเสียชีวิตก่อนเวลาอันควรของนิชิมิยะ กับการชุมนุมเดินขบวนต่อต้านญี่ปุ่นอย่างรุนแรงในประเทศจีนที่กำลังเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นการสูญเสียเขาก็มีส่วนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นที่เขม็งเกลียวอยู่แล้ว ยิ่งทวีความสลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก

วิกฤตการณ์ในทะเลจีนตะวันออกครั้งนี้ ยังจะส่งผลกระทบกระเทือนทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ พร้อมๆ กับที่ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมสั่นไหวในทางภูมิรัฐศาสตร์ ความสัมพันธ์ทางการค้าทวิภาคีระหว่างญี่ปุ่นกับสาธารณรัฐประชาชนจีนในปัจจุบัน มีมูลค่ามากมายมหาศาลถึงกว่า 340,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะที่เสียงเรียกร้องให้คว่ำบาตร “สินค้าของศัตรู” ดังกระหึ่มเพิ่มขึ้นในทั้งสองประเทศ ผลกระทบของการเผชิญหน้ากันที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องไม่หยุดเช่นนี้ ก็กำลังเป็นที่รู้สึกกันได้ในสมุดบัญชีของภาคธุรกิจทั้งในแดนมังกรและในแดนอาทิตย์อุทัย แล้วทำไมทั้งสองฝ่ายจึงกำลังยอมเสี่ยงที่จะทำให้ข้อพิพาทขยายตัวยกระดับความรุนแรงสูงขึ้นไปในช่วงระยะเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นขณะนี้?

กล่าวโดยสรุปแล้ว ปัจจุบันทั้งปักกิ่งและโตเกียวต่างอยู่ในสภาพของการขี่อยู่บนหลังเสือแห่งลัทธิชาตินิยมแข็งกร้าว ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นกำลังเผชิญทั้งปัญหาการแตกแยกทางการเมืองภายในอย่างร้ายแรง, การโต้แย้งถกเถียงกันอย่างดุเดือดในเรื่องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์, และภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างยืดเยื้อยาวนาน การตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะ ที่จะเข้าซื้อหมู่เกาะแห่งนี้ และทำให้ประเด็นปัญหานี้กลายเป็นประเด็นปัญหาระดับชาติขึ้นมา บังเกิดขึ้นภายหลังที่ผู้ว่าราชการมหานครโตเกียว ชินตาระ อิชิฮารา (Shintara Ishihara) ที่เป็นพวกชาตินิยมแข็งกร้าว ไม่เพียงแต่ออกมาประกาศว่ามหานครโตเกียวจะเข้าซื้อหมู่เกาะแห่งนี้เสียเองเท่านั้น หากแต่ยังจะเข้าไปพัฒนาด้วย ซึ่งย่อมมีหวังทำให้ฝ่ายจีนโกรธกริ้วหนัก ดูเหมือนว่าแผนการของนายกรัฐมนตรีโนดะคือ หลังจากซื้อมาแล้วก็จะปล่อยทิ้งหมู่เกาะแห่งนี้เอาไว้โดยไม่เข้าไปพัฒนา ในความพยายามที่จะไต่เส้นลวดเดินไปในทางสายกลางระหว่างการทำให้ฝ่ายจีนแค้นเคือง และการทำให้พวกนักชาตินิยมชาวญี่ปุ่นโกรธเกรี้ยว อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่ายุทธศาสตร์นี้กลายเป็นการคำนวณผิดและเดินหมากพลาดอย่างร้ายแรงไปเสียแล้ว

ในระยะหลายสิบปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่แล้วรัฐบาลจีนมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางการทหารกับชาติอื่น ตรงกันข้ามวิธีการสำคัญที่สุดซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนใช้ในการเพิ่มพูนหนุนส่งความชอบธรรมในการบริหารปกครองประเทศของตน ก็คือด้วยการทำให้เศรษฐกิจเติบโตขยายตัว การพิพาทกับต่างประเทศนั้นถูกเก็บเอาไว้เป็นเรื่องรองในขณะที่รัฐบาลเน้นหนักโฟกัสไปที่เป้าหมายเดี่ยวๆ โดดๆ ในเรื่องการเพิ่มพูนความมั่งคั่งรุ่งเรืองในทางวัตถุ เนื่องจากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ได้มีการแตกแยกกันภายในอย่างเปิดเผยชัดเจน และเนื่องจากลักษณะเผด็จการรวบอำนาจของระบบของจีน ส่วนใหญ่แล้วก็สามารถช่วยเป็นโล่กำบังพรรคให้พ้นจากการถูกตรวจสอบโดยตรงจากประชาชน คณะผู้นำจีนจึงสามารถดำเนินยุทธศาสตร์ระยะยาวไปตามที่ได้ตัดสินใจไว้แล้วเพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังอำนาจในทางระหว่างประเทศของจีน วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ๆ เป็นต้นว่า กรณีที่องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization หรือ NATO) ทิ้งระเบิดใส่สถานเอกอัครราชทูตจีนในเซอร์เบียเมื่อปี 1999 ไม่ได้นำไปสู่การตอบโต้ของฝ่ายจีนอย่างยืดเยื้อหรือรุนแรงอะไรนัก ถึงแม้ประชาชนจีนมีอารมณ์ความรู้สึกโกรธกริ้วเดือดดาลกันมากก็ตามที

อย่างไรก็ดี แบบแผนเช่นนี้คงจะไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้ว ความแตกแยกภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังเผยโฉมออกมาจากกรณีการหล่นจากอำนาจของ ป๋อ ซีไหล อดีตเลขาธิการพรรคสาขามหานครฉงชิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น การที่ สี จิ้นผิง ทายาทผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคคนต่อไป ได้หายหน้าไปนานวันจากสายตาของสาธารณชนเมื่อเร็วๆ นี้ ก็เป็นเชื้อเพลิงทำให้เกิดข่าวลือสะพัดว่าเกิดการเผชิญหน้าอย่างรุนแรงภายในหมู่ผู้นำพรรค ในกรณีที่ถ้าหากเกิดการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจทางการเมืองในจีนขึ้นมาอย่างจริงจังแล้ว มีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่ฝ่ายซึ่งเป็นผู้ครองอำนาจอยู่ อาจจะแสวงหาความสนับสนุนภายในประเทศด้วยการชักนำให้เกิดการต่อสู้ด้วยอาวุธกับประดาชาติที่เคยเป็นศัตรูเก่าแก่ร้ายกาจของแดนมังกร

พวกรัฐบาลฝ่ายตะวันตกที่พยายามกดดันจีนให้เดินหน้าเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยนั้น กระทำการบีบคั้นดังกล่าวในลักษณะมืดบอดสายตาสั้นไม่เข้าใจเรื่องภูมิรัฐศาสตร์ระดับสูงสุดเอาเสียเลย ถ้าหากรัฐบาลในจีนแผ่นดินใหญ่ปัจจุบัน กำลังเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนตามสไตล์ของโลกตะวันตกแล้ว ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะต้านทานแรงกดดันอันมหาศาลของประชาชนที่ต้องการจะทำสงครามสู้รบกับญี่ปุ่น

นอกเหนือจากความไม่แน่นอนในทางการเมืองแล้ว เศรษฐกิจของจีนก็กำลังส่งสัญญาณชะลอตัวอย่างน่าวิตกห่วงใยอีกด้วย ข่าวร้ายในทางเศรษฐกิจชิ้นแล้วชิ้นเล่าโถมทับเพิ่มพูนเข้ามาเรื่อยๆ ตลอดจนหลายๆ เดือนหลังมานี้ โดยที่พวกตัวเลขเครื่องบ่งชี้เศรษฐกิจตัวสำคัญๆ ต่างแสดงให้เห็นว่าอัตราการเติบโตขยายตัวของเศรษฐกิจจีนกำลังลดต่ำลงมามาก เมื่อเร็วๆ นี้นายกรัฐมนตรีเวิน เจียเป่า ได้พยายามกล่าวให้ความเชื่อมั่นอีกครั้งหนึ่งแก่ประเทศจีน (และก็แก่ทั่วโลกด้วย) ว่าสามารถที่จะฝ่าฟันเอาชนะความย่ำแย่ทางเศรษฐกิจคราวนี้ไปได้อย่างแน่นอน เขาบอกว่า “ผมไม่เห็นด้วยเลยกับข้อโต้แย้งที่ระบุว่า อัตราการเติบโตขยายตัวระดับสูงๆ ของจีนกำลังมาถึงจุดจบแล้วภายหลังจากดำเนินมาได้ 30 ปี แท้จริงแล้วเรายังสามารถทำเช่นนั้นไปได้อีกยาวนาน”[9] นายกฯเวินยังเดินหน้าประกาศเป้าหมายอัตราเติบโตของปีนี้ว่าอยู่ที่ 7.5% สำหรับในระบบเศรษฐกิจสำคัญๆ ของโลกส่วนใหญ่แล้ว อัตราเติบโตขยายตัวระดับนี้ต้องถือว่าน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสำหรับจีน ตัวเลขนี้คืออัตราการเติบโตที่เชื่องช้าที่สุดในรอบระยะเวลา 22 ปีทีเดียว

จากการเข้าซื้อหมู่เกาะพิพาทในช่วงระยะหัวเลี้ยวหัวต่ออันสำคัญยิ่งยวดนี้ นายกรัฐมนตรีโนดะของญี่ปุ่นก็ได้บังคับรัฐบาลจีนให้ต้องแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ด้วยการเพิ่มเดิมพันทั้งในทางการทูต, เศรษฐกิจ, และการทหาร ของความขัดแย้งนี้ เนื่องจากจีนมองว่า ความเคลื่อนไหวแต่ฝ่ายเดียวของญี่ปุ่นในการทำให้ดินแดนที่ช่วงชิงกรรมสิทธิ์กันอยู่นี้กลายเป็น “เรื่องระดับชาติ” ของแดนอาทิตย์อุทัย ก็คือการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมที่ดำรงอยู่ และดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการยั่วยุ แน่นอนทีเดียวว่าจีนยังจะหลีกเลี่ยงจากการเผชิญภัยทางทหารอย่างสุ่มเสี่ยง ตราบเท่าที่เศรษฐกิจจีนยังคงเติบโตขยายตัวได้อย่างรวดเร็วต่อไป และคณะผู้นำจีนส่วนใหญ่ก็ยังคงสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในกรณีที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ขึ้นในประเทศจีน หรือเกิดสถานการณ์ความไร้เสถียรภาพทางการเมืองขึ้นในแดนมังกรแล้ว เหตุผลข้อโต้แย้งทั้งหลายที่หยิบยกขึ้นมากล่าวเอาไว้เหล่านี้ ก็เป็นอันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

**หมายเหตุ**

[1] รายละเอียดดูที่ Sino-Japanese clash, Deccan Herald, Sep 13, 2012.

[2] รายละเอียดดูที่ China sends six ships to disputed islands, Al Jazeera, Sep 14, 2012.

[3] รายละเอียดดูที่ China willing to risk 'conflict' as it claims waters around Senkakus, The Asashi Shimbun, Sep 15, 2012.

[4] รายละเอียดดูที่ Locke urges bilateral talks to resolve issues, China Daily, Sep 15, 2012.

[5] รายละเอียดดูที่ US defense chief Panetta warns on Asia territory rows, BBC News, Sep 16, 2012.

[6] รายละเอียดดูที่ Taiwan recalls envoy over island dispute, Straits Times, Sep 11, 2012.

[7] รายละเอียดดูที่ Japan warns citizens in China after assaults, Japan Today, Sep 14, 2012.

[8] รายละเอียดดูที่ Japan's new envoy to China dead: officials, Times of India, Sep 16, 2012.

[9] รายละเอียดดูที่ China's economy to continue 'fast and stable' growth, says Premier Wen Jiabao, Telegraph, Sep 11, 2012.

เบรนดัน พี โอไรลีย์ เป็นนักเขียนและนักการศึกษาที่มาจากเมืองซีแอตเติล, สหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันพำนักอยู่ในจีน เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง
The Transcendent Harmony

กำลังโหลดความคิดเห็น