รอยเตอร์ - กรณีนักเคลื่อนไหวชาตินิยมญี่ปุ่นนำธงชาติขึ้นไปปักบนหมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนตะวันออกเมื่อวันอาทิตย์ (19) ที่ผ่านมา ได้จุดชนวนการประท้วงต่อต้านญี่ปุ่นครั้งใหญ่ในหลายเมืองของจีน ล่าสุดวันนี้รัฐบาลปลาดิบออกมาเรียกร้องให้ปักกิ่งช่วยปกป้องพลเมืองของตน และขออย่าให้ความขัดแย้งเรื่องอธิปไตยเหนือหมู่เกาะทำลายความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
ชาวจีนหลายพันคนออกมาเดินขบวนประท้วงตามเมืองต่างๆ วานนี้ (19) โดยมีการคว่ำรถยนต์ที่ผลิตในญี่ปุ่น และร้องประณามการอ้างสิทธิของญี่ปุ่นเหนือหมู่เกาะเซ็งกากุ ซึ่งจีนเรียกในภาษาของตนว่าหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์
ปฏิกิริยาต่อต้านในจีนเกิดขึ้นหลังจากที่นักเคลื่อนไหวชาวญี่ปุ่น 10 คนว่ายน้ำไปปักธงชาติบนเกาะพิพาท เมื่อวานนี้ (19) ซึ่งเป็นการกระทำตอบโต้ที่นักเคลื่อนไหวของจีน 7 คนจากทั้งหมด 14 คนแล่นเรือไปยังเกาะร้างเกาะหนึ่งของหมู่เกาะแห่งนี้ พร้อมกับโบกธงชาติจีน เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (17)
รัฐบาลปักกิ่งซึ่งจะมีการเปลี่ยนผู้นำชุดใหม่ในช่วงปลายปีนี้ และนายกรัฐมนตรีโยชิฮิโกะ โนดะ ซึ่งคะแนนนิยมร่วงดิ่งเหว และถูกเร่งเร้าจากฝ่ายค้านให้จัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ต่างก็เผชิญแรงกดดันในประเทศให้ต้องจัดการปัญหาหมู่เกาะพิพาทอย่างเด็ดขาด
“ทั้ง 2 ประเทศต่างไม่ต้องการให้เรื่องหมู่เกาะเซ็งกากุบ่อนทำลายความสัมพันธ์ในภาพรวม ความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่นถือเป็นความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีที่สำคัญที่สุดสำหรับเรา และจีนจำเป็นต้องแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสร้างเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” โอซามุ ฟูจิมูระ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงต่อสื่อมวลชน
“เราปรารถนาที่จะสานต่อความสัมพันธ์อันเป็นประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่ายให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยมองในมุมที่กว้างขวางกว่าเดิม... ส่วนการประท้วงที่เกิดขึ้นนั้น เหนือสิ่งอื่นใดเราใคร่ขอให้ทางการจีนช่วยปกป้องพลเมืองของเราให้ปลอดภัยด้วย”
การประท้วงต่อต้านญี่ปุ่นสะท้อนถึงความทรงจำอันเจ็บปวดของชาวจีน เมื่อครั้งที่แผ่นดินมังกรบางส่วนถูกกองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครอง ในช่วงทศวรรษที่ 1930-1940
แม้สื่อกระแสหลักของจีนจะวิจารณ์ญี่ปุ่นอย่างเผ็ดร้อน แต่ก็มีบางสำนักที่เตือนว่า การใช้ความรุนแรงไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง
“ญี่ปุ่นเคยทำผิดพลาดหลายครั้งในเรื่องหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ และทำลายความรู้สึกของประชาชนชาวจีน... ความรักชาติของคนหนุ่มสาวนั้นเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม แต่บางรายที่ไปทุบทำลายรถยนต์ของเพื่อน หรือทำลายทรัพย์สินสาธารณะ นั่นคือพฤติกรรมที่โง่เขลามากกว่า พฤติกรรมเช่นนี้เป็นการทำลายความสงบเรียบร้อยในสังคม ทำลายภาพลักษณ์ของเมือง และยิ่งไปกว่านั้นคือทำลายภาพลักษณ์ของประเทศชาติ” หนังสือพิมพ์ ไชนา ยูธ เดลี รายงาน