เอเจนซี/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - “ผลผลิตข้าวจำนวนล้านๆ ตันที่ตลาดไม่ต้องการ, งบประมาณรัฐที่ถูกผลาญไปโดยสูญเปล่า, ชาวนานึกถึงปริมาณข้าวที่เก็บเกี่ยวมากกว่าคุณภาพ, ผู้ส่งออกข้าวต่างท้อแท้สิ้นหวัง... เหล่านี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าอุตสาหกรรมข้าวไทยที่เคยเป็นหนึ่งของโลกกำลังก้าวสู่ภาวะตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็น” บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ว่าด้วยนโยบายประกันราคาข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งนำออกเผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี(9) ขึ้นต้นเอาไว้เช่นนี้
บทวิเคราะห์ที่ใช้ชื่อว่า Disastrous intervention puts Thai rice exporters in peril (การแทรกแซงอย่างชนิดก่อให้เกิดความหายนะ ทำให้ผู้ส่งออกข้าวไทยตกอยู่ในอันตราย) ของสำนักข่าวรอยเตอร์ชิ้นนี้ ซึ่งเขียนโดย อาภรณ์รัตน์ พูนพงศ์พิพัฒน์ ระบุว่า รัฐบาลไทยชุดปัจจุบันซื้อชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อปีที่แล้วด้วยสัญญาที่ว่าจะรับประกันราคาข้าวเป็น 2 เท่าของราคาตลาดในขณะนั้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร แต่ผลที่ตามมาก็คือ ราคาข้าวของไทยกลับแพงลิบลิ่วจนแทบไม่มีใครอยากซื้อ
ตลอดครึ่งปีแรก ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 3.45 ล้านตัน หรือลดลง 45 เปอร์เซ็นต์จากช่วงเวลาเดียวกันในปี 2011
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยคาดว่า ยอดส่งออกในปีนี้จะไม่เกิน 6.5 ล้านตัน จากปกติที่เคยส่งออกได้ไม่น้อยกว่าปีละ 8-10 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่า ไทยกำลังเสียแชมป์ส่งออกข้าวให้กับคู่แข่งอย่างอินเดียและเวียดนาม
บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ชิ้นนี้กล่าวว่า พวกผู้ส่งออกข้าวต่างก็ดิ้นรนหาทางรอดให้กับตนเอง รายใหญ่ๆเริ่มแสวงหาโอกาสในต่างประเทศ หรือขยับขยายกิจการไปยังภาคส่วนอื่นเพื่อความอยู่รอด ส่วนรายเล็กที่ไม่มีทางไปก็ต้องถอนตัวออกจากวงการ
สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเคยมีสมาชิก 192 รายในปีที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเชื่อว่ายังมีสมาชิกที่อยู่รอดแน่นอนเพียง 30-40 ราย ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ทำกิจการด้านอื่นด้วย เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หรือโรงงานผลิตอาหาร เป็นต้น
“ส่วนรายเล็กๆก็ต้องเลิกกิจการไป” กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวถึงผู้ส่งออกรายย่อยที่ส่งออกข้าวไม่เกิน 500-1,000 ตันต่อปี
ล่าสุดมีผู้ส่งออกข้าวขอถอนตัวจากสมาคมไปแล้ว 20 ราย หนึ่งในนั้นคือบริษัท โกลเดน ไรซ์ ซึ่งส่งออกข้าวมากเป็นอันดับ 2 และปัจจุบันหันไปลงทุนตั้งโรงสีและส่งออกข้าวในกัมพูชาแทน
สำหรับ อุทัย โปรดิวส์ เริ่มชะลอการส่งออกข้าวในไทย และหันไปรับซื้อข้าวจากกัมพูชา, เวียดนาม, ปากีสถาน และแหล่งอื่นๆ เพื่อส่งออกให้ลูกค้าในสหรัฐฯ, แคนาดา และประเทศแถบเอเชีย
“เรายังมีความเชี่ยวชาญและยังต้องการทำธุรกิจส่งออกข้าวต่อไป เพียงแต่เราได้หันมาใช้ความเชี่ยวชาญเพื่อส่งเสริมการส่งออกให้กับประเทศอื่นๆเท่านั้น” เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท อุทัย โปรดิวส์ เผย
“ผมเองก็อาจต้องหยุดกิจการค้าข้าวในไทยเข้าสักวันหนึ่ง หากรัฐบาลยังมีนโยบายเช่นนี้” เจริญ กล่าว
อย่างไรก็ตาม บุญส่ง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังไม่กังวลเรื่องผลเสียของนโยบายประกันราคาข้าว โดยบอกว่า “นโยบายของเราคือสนับสนุนชาวนา ซึ่งการทำเช่นนั้นย่อมต้องมีความสูญเสียบ้างเป็นธรรมดา”
รัฐบาลได้ยืดเวลารับจำนำข้าวเปลือกจากกำหนดเดิมที่สิ้นสุดไปเมื่อเดือนมิถุนายน และจะเริ่มโครงการใหม่สำหรับผลผลิตข้าวในเดือนตุลาคมนี้
บทวิเคราะห์นี้อ้างถึงการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ที่คาดการณ์ว่า โครงการรับจำนำข้าวจะทำให้มูลค่าจีดีพีของไทยหายไปราว 1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 3,800 ล้านดอลลาร์สสหรัฐฯต่อปี (ราว 119,000 ล้านบาท) โดยยังไม่นับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาและการจัดการอื่นๆ และตัวเลขนี้ยังตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่า รัฐบาลต้องสามารถจำหน่ายข้าวที่สต็อกไว้ถึง 10 ล้านตันได้หมด
ราคาส่งออกข้าวไทยในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 700 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน ขณะที่ราคาขายของอินเดียและเวียดนามอยู่ที่ราวๆ 430 ดอลลาร์ต่อตัน หรือถูกกว่าข้าวไทยไม่น้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์
บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ชี้ด้วยว่า ปัจจุบันชาวนาจำนวนมากหันไปเน้นปริมาณข้าวที่เก็บเกี่ยวมากกว่าคุณภาพผลผลิต เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียรัฐบาลก็จะรับซื้อในราคา 15,000 บาทต่อตัน และยินดีรับซื้อทั้งหมดหากมีความจำเป็น
“ใครเขาจะไปใส่ใจเรื่องคุณภาพ? ชาวนารู้ดีว่าถึงอย่างไรก็จะได้ 15,000 แน่นอน ก็เลยปลูกเอาๆเท่านั้นเอง” ประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย ให้สัมภาษณ์ พร้อมเผยว่า ชาวนาบางรายหันไปปลูกข้าวสายพันธุ์เมล็ดสั้นที่มีคุณภาพด้อย เพราะสามารถเก็บเกี่ยวได้เร็วกว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นมีนัยยะที่ร้ายแรงสำหรับอุตสาหกรรมข้าวไทย เพราะหมายถึงไทยกำลังจะสูญเสียกลุ่มลูกค้าข้าวชั้นดี และเสียส่วนแบ่งตลาดข้าวเกรดธรรมดาให้แก่อินเดียและเวียดนามไปพร้อมๆกัน
“การปรับปรุงคุณภาพข้าวอาจต้องใช้เวลานานหลายปี เพราะทุกวันนี้เรามีแต่เมล็ดข้าวคุณภาพต่ำ และขาดแคลนข้าวคุณสมบัติดีเสียแล้ว” วิชัย ศรีประเสริฐ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ระบุ
บทวิเคราะห์นี้ได้หยิบยกคำเตือนของไอเอ็มเอฟที่ว่าโครงการรับจำนำข้าวจะก่อปัญหายุ่งยาก เนื่องจากชาวนารายเล็กๆมักจำหน่ายข้าวให้กับพ่อค้าคนกลาง แม้จะได้ราคาต่ำกว่าราคาประกันของรัฐบาลก็ตาม “ดังนั้น ท้ายที่สุดผู้ที่ได้ประโยชน์จากโคงการจำนำข้าวอาจเป็นผู้ผลิตรายใหญ่และพ่อค้าคนกลางเท่านั้น”
ขณะที่พวกนักวิจารณ์ก็กล่าวถึงปัญหาการลักลอบนำเข้าข้าวจากกัมพูชาเพื่อสวมสิทธิ์ประกันราคาข้าว ซึ่งทำให้บรรดาเจ้าของโรงสี, เจ้าของที่ดิน และบริษัทผลิตอาหาร ได้ประโยชน์จากโครงการนี้มากกว่าชาวนาที่ยากจนหลายล้านคน
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม รอยเตอร์ก็ได้เผยแพร่คอลัมน์ของ ไคลด์ รัสเซลล์ (Clyde Russell) นักวิเคราะห์ตลาดของสำนักข่าวแห่งนี้ ที่ใช้ชื่อเรื่องว่า Thailand's oxymoronic rice policy lives on (นโยบายข้าวที่มีความขัดแย้งกันเองของประเทศไทย ยังคงถูกนำมาใช้ต่อไป) ซึ่งก็มีเนื้อหาสับแหลกนโยบายจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าทำให้ไทยเสียแชมป์ส่งออก แถมยังเพิ่มภาระของรัฐทั้งในด้านงบประมาณอุดหนุนและการบริหารจัดการสต็อกข้าว
รัสเซลล์เขียนในคอลัมน์ของเขาว่า นโยบายนี้เต็มไปด้วยความสับสนขัดแย้งกันเอง และไม่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เขาระบุว่าเพียงแค่ใช้คณิตศาสตร์ง่ายๆ มาคำนวณก็จะพบความผิดพลาดของนโยบายนี้
เขาเหน็บแนมว่า แทนที่จะใช้นโยบายเช่นนี้ การทำตามตัวอย่างของสหภาพยุโรป (อียู) ด้วยการให้เงินแก่ชาวนาแลกกับการไม่ปลูกข้าวยังจะน่าดีกว่า และตบท้ายว่า ปัญหาใหญ่อยู่ตรงที่ว่ารัฐบาลไทยดูจะไม่ได้ตระหนักเลยว่า ยิ่งใช้นโยบายจำนำข้าวนานเท่าใด สต็อกข้าวรัฐบาลที่ขายไม่ออกก็จะยิ่งใหญ่โตมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหายิ่งยากลำบากและยิ่งมีราคาแพงขึ้น