เอเอฟพี/รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - เป็นหลักฐานยืนยันหนักแน่นอีกครั้งว่า อิสราเอลและกลุ่มล็อบบี้เพื่อชาวยิวในอเมริกา มีอิทธิพลมากมายมหาศาลต่อวงการเมืองสหรัฐฯ ขนาดไหน เมื่อ มิตต์ รอมนีย์ ว่าที่ผู้สมัครชิงทำเนียบขาวของพรรครีพับลิกัน เดินทางไปยังนครเยรูซาเลม และเตรียมตัวเข้าหารือกับบรรดาผู้นำของอิสราเอลในวันนี้ (29) ด้วย
ความมุ่งหวังที่จะเพิ่มเครดิตให้แก่ความสามารถทางด้านนโยบายการต่างประเทศของตนเอง รวมทั้งวาดภาพให้เห็นว่าตนเป็นเพื่อนมิตรของอิสราเอลได้ดีกว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา
ปรากฏว่าทางด้านโอบามาก็ได้แสดงท่าทีเร่งทำคะแนนเป็นการตีกันไว้ก่อน ในวันศุกร์ (27) ที่ผ่านมา จึงจัดพิธีลงนามบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ซึ่งมีเนื้อหาส่งเสริมเพิ่มพูนความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารระหว่างสหรัฐฯ กับอิสราเอล ตลอดจนมีรายงานข่าวว่าเขายังจัดส่งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติไปบรรยายสรุปลับๆ ให้นายกรัฐมนตรีอิสราเอลรับทราบ เกี่ยวกับแผนฉุกเฉินที่วอชิงตันเตรียมไว้ในการเข้าโจมตีอิหร่าน
มิตต์ รอมนีย์ ว่าที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯของพรรครีพับลิกัน เดินทางถึงเยรูซาเลมในคืนวันเสาร์ (28) โดยมีกำหนดการเข้าพบเจรจากับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลในเช้าวันอาทิตย์ ต่อด้วยการหารือกับประธานาธิบดีชิมอน เปเรซ, พวกผู้นำฝ่ายค้านของอิสราเอล, แล้วจึงพบปะกับนายกรัฐมนตรี ซาลาม ฟายยัด ของปาเลสไตน์
นอกจากนั้น เขายังเตรียมจะออกคำแถลงเกี่ยวกับนโยบายการต่างประเทศของเขาอีกด้วย
ที่ผ่านมารอมนีย์พยายามโจมตีโอบามาเรื่อยว่า ใช้นโยบายต่ออิหร่านซึ่งอ่อนแอเกินไปด้วยการเน้นน้ำหนักไปที่การมีปฏิสัมพันธ์กับอิหร่าน ผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวกลั่นของอิสราเอล เขาประกาศว่าหากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯแล้ว เขาจะใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรที่เข้มงวดยิ่งขึ้นอีกกับเตหะราน
ทางด้าน แดน ซีนอร์ ที่ปรึกษาด้านนโยบายการต่างประเทศของรอมนย์ ได้บอกกับผู้สื่อข่าวที่เยรูซาเลมในวันอาทิตย์ด้วยว่า ถ้าหากอิสราเอลจะทำการโจมตีอิหร่านด้วยตนเอง เพื่อหยุดยั้งอิหร่านไม่ให้พัฒนาสมรรถนะทางด้านนิวเคลียร์แล้ว รอมนีย์ก็จะให้ความสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายโอบามาก็ได้แสดงให้เห็นถึงความสนับสนุนต่ออิสราเอลที่ทำเนียบขาวในวันศุกร์ ด้วยการจัดพิธีลงนามบังคับใช้กฎหมายฉบับใหม่ที่มุ่งส่งเสริมเพิ่มพูนความร่วมมือด้านความมั่นคงและการทหารระหว่างสหรัฐฯกับอิสราเอล โดยที่เชื้อเชิญพวกตัวแทนขององค์การคณะกรรมการกิจการสาธารณะอเมริกันอิสราเอล (American Israel Public Affairs Committee ใช้อักษรย่อว่า AIPAC) ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้เพื่อผลประโยชน์ของอิสราเอลทั้งในรัฐสภาและฝ่ายบริหารของสหรัฐฯที่สำคัญที่สุด ให้มายืนรายล้อมรอบๆ เขาในห้องทำงานรูปไข่ของทำเนียบขาว ระหว่างที่เขาลงนามใช้กฎหมายฉบับนี้
นอกจากนั้นยังมีพวกนักหนังสือพิมพ์ชาวอิสราเอลได้รับเชื้อเชิญให้เข้าร่วมพิธีลงนามคราวนี้ด้วย เช่นเดียวกับบรรดาช่างภาพและนักข่าวที่ได้รับการรับรองให้ประจำทำข่าวอยู่ที่ทำเนียบขาว สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ในยุคของประธานาธิบดีโอบามา การจัดพิธีลงนามเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันอยู่เป็นปกติแต่อย่างใด
โอบามาแถลงด้วยว่า กฎหมายฉบับนี้ซึ่งเอื้อประโยชน์เป็นพิเศษให้แก่อิสราเอลในการเข้าถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯนั้น “เป็นการเน้นย้ำถึงความมุ่งมั่นผูกพันอันไม่อาจโยกคลอนได้ของเรา ต่อความมั่นคงของอิสราเอล”
ไม่เพียงเท่านี้ หนังสือพิมพ์ฮาเรตซ์ (Haaretz) ของอิสราเอลฉบับวันอาทิตย์(29) รายงานว่า โทมัส โดนิลอน ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดีโอบามา ได้เดินทางไปบรรยายสรุปให้นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ของอิสราเอล ทราบถึงแผนการฉุกเฉินของสหรัฐฯที่จะเข้าโจมตีอิหร่าน หากการดำเนินการทางการทูตล้มเหลวไม่สามารถสกัดกั้นโครงการนิวเคลียร์ของเตหะรานได้
ฮาเรตซ์ซึ่งอ้างเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐฯเป็นผู้ให้ข่าว รายงานว่าโดนิลอนได้พบหารือกับเนทันยาฮูเป็นเวลา 3 ชั่วโมงระหว่างการรับประทานอาหารค่ำในเยรูซาเลมเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว โดยที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติประจำทำเนียบขาว ได้ระบุว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯกำลังวางแผนการเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการตัดสินใจโจมตีสถานที่ทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน รวมทั้งได้แสดงแผนการนี้เป็นบางส่วนให้เนทันยาฮูรับทราบด้วย
ระหว่างหารือกันคราวนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนเดียวกันนี้บอกด้วยว่า โดนิลอนยังได้อธิบายรายละเอียดความสามารถทางการทหารของสหรัฐฯ ในการเจาะผ่านสถานที่ตั้งทางนิวเคลียร์ซึ่งสร้างอยู่ใต้ดินลึกๆ
หลังการเสนอข่าวของฮาเรตซ์ ปรากฏว่า ฮาเรล ล็อกเกอร์ ที่ปรึกษาอาวุโสของเนทันยาฮู ไม่ยอมแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เมื่อถูกสอบถามระหว่างที่เขาให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุอิสราเอลแห่งหนึ่ง ส่วนเจ้าหน้าที่อิสราเอลอีกผู้หนึ่งซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ติดต่อสอบถามทางโทรศัพท์ ก็กล่าวว่า “เราไม่ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการพบปะทางการทูตที่เป็นการปิดประตูคุยกัน”