รอยเตอร์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ชาวอเมริกันกว่าครึ่งยังไม่เห็นดีเห็นงามกับกฎหมายประกันสุขภาพที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามาเสนอ แม้ส่วนใหญ่จะพอใจกับสวัสดิการที่จะได้รับก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นโดยรอยเตอร์/อิปซอส เผยวันนี้ (24) ขณะที่ศาลสูงสหรัฐฯ คาดว่าจะประกาศคำตัดสินในอีกไม่กี่วันข้างหน้าว่ากฎหมายฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ผลสำรวจออนไลน์ซึ่งจัดทำระหว่างวันที่ 19-23 มิถุนายนที่ผ่านมาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 56 ไม่เห็นชอบกับกฎหมายดังกล่าว ขณะที่ร้อยละ 41 เห็นด้วย
คำตอบของประชาชนชี้ให้เห็นว่า พรรครีพับลิกันประสบความสำเร็จพอสมควรในการโน้มน้าวให้ชาวอเมริกันต่อต้านกฎหมายปฎิรูปของโอบามา แม้ว่าพวกเขาจะยังพอใจสวัสดิการที่มาพร้อมกับกฎหมายฉบับนี้ก็ตาม เช่น การอนุญาตให้บุตรใช้สิทธิ์ประกันสุขภาพของบิดามารดาได้จนถึงอายุ 26 ปี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ยังบังคับให้พลเมืองสหรัฐฯทุกคนต้องทำประกันสุขภาพ ซึ่งชาวอเมริกันร้อยละ 61 ไม่เห็นด้วย และกลายเป็นประเด็นให้ ส.ส.รีพับลิกันโจมตีว่า ข้อกำหนดเช่นนี้อาจเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ
“ข้อบังคับนี้ถือเป็นหัวใจของกฎหมายประกันสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ศาลสูงสุดใช้คว่ำกฎหมายฉบับนี้ หากพิจารณาเห็นว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ” คริส แจ็กสัน นักสำรวจความคิดเห็นจากอิปซอสระบุ
ยังมีข่าวดีสำหรับพรรครีพับลิกัน เมื่อผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 45 บอกว่า พวกเขาจะเทคะแนนให้กับสมาชิกรัฐสภาที่มีจุดยืนล้มล้างกฎหมายของโอบามาในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ ขณะที่ร้อยละ 26 บอกว่า จะยิ่งทำให้พวกเขาไม่เลือกมากกว่า
ทั้งนี้ คาดว่าศาลสูงสหรัฐฯ จะชี้ชะตากฎหมายประกันสุขภาพ ปี 2010 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จด้านนโยบายภายในประเทศชิ้นโบแดงของรัฐบาลโอบามา ภายในสัปดาห์นี้ หรืออย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์ (25)
ประชาชนร้อยละ 82 รู้สึกพอใจกับประโยชน์ที่จะได้รับจากกฎหมายประกันสุขภาพ อาทิ ห้ามมิให้บริษัทประกันปฏิเสธการจ่ายเงินแก่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพมาก่อน เป็นต้น
ชาวอเมริกันร้อยละ 61 พอใจที่บุตรจะสามารถใช้สิทธิประกันสุขภาพของบิดามารดาได้จนอายุ 26 ปี และร้อยละ 72 พอใจกับข้อบังคับให้บริษัทซึ่งมีพนักงานเกิน 50 คนขึ้นไป ต้องทำประกันสุขภาพให้แก่พนักงานของตนด้วย
พรรครีพับลิกันพยายามโน้มน้าวให้สังคมช่วยกันล้มล้างกฎหมายประกันสุขภาพของโอบามา โดยพวกอนุรักษ์นิยมกล่าวหาว่า รัฐบาลกำลังแทรกแซงธุรกิจเอกชนและชีวิตของพลเมือง ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาคองเกรสเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2010 โดยไม่ได้เสียงโหวตจากสมาชิกพรรครีพับลิกันแม้แต่คนเดียว
ด้านพรรคเดโมแครตอ้างว่า กฎหมายฉบับนี้จะยกระดับคุณภาพชีวิตของคนอเมริกัน และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่กำลังเพิ่มขึ้น และบั่นทอนเศรษฐกิจของสหรัฐฯอยู่ในขณะนี้
ข้อมูลจากมูลนิธิไคเซอร์ แฟมิลี ระบุว่า วอชิงตันมีค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขสูงถึง 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 2010 หรือเพิ่มเป็น 10 เท่าจากสถิติ 256,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 1980