เอเอฟพี - เมอห์ตาร์ เคนท์ ผู้บริหารโคคาโคลา ยืนยันว่าบริษัทไม่มีส่วนรับผิดชอบต่อการที่พลเมืองสหรัฐฯ มีแนวโน้มอ้วนขึ้น แม้นายกเทศมนตรีนิวยอร์ก ไมเคิล บลูมเบิร์ก จะเพิ่งออกข้อบังคับว่าด้วยการจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำตาลสูงไปเมื่อเร็วๆ นี้ก็ตาม
“นี่เป็นประเด็นทางสังคมที่สำคัญและสลับซับซ้อน ซึ่งเราต้องหาทางแก้ไขร่วมกัน” เคนท์ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล ฉบับวานนี้ (18)
“ด้วยเหตุนี้เราจึงร่วมมือกับรัฐบาล, ภาคธุรกิจ และชุมชน เพื่อทำโครงการสนับสนุนให้คนใช้ชีวิตแบบไม่หยุดนิ่ง ในทุกๆ ประเทศที่เราเข้าไปมีกิจการตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นไป”
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน บลูมเบิร์กเสนอให้ร้านอาหารงดจำหน่ายน้ำอัดลมแก้วใหญ่พิเศษ และจำกัดขนาดแก้วไม่เกิน 16 ออนซ์ ซึ่งมีปริมาณน้ำมากกว่าน้ำอัดลมชนิดกระป๋อง แต่ยังน้อยกว่าน้ำอัดลมแก้วยักษ์ที่จำหน่ายตามโรงภาพยนตร์, สถานีบริการ และลานกีฬาต่างๆ
เคนท์กล่าวว่า โคคาโคลาไม่เพียงผลิตน้ำอัดลมสีดำตามชื่อของบริษัทเท่านั้น แต่ยังเสนอเครื่องดื่มประเภทอื่นๆ แก่ผู้บริโภค เช่น ชา, น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มเกลือแร่
“เราได้เปลี่ยนจากการเป็นแบรนด์เดียวสินค้าเดียว มาสู่ 500 กว่าแบรนด์ซึ่งผลิตสินค้าราว 3,000 รายการ ซึ่งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาเราได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กว่า 800 ชนิดที่ปราศจากแคลอรี หรือมีแคลอรีต่ำ”
“ผมจึงเชื่อว่าไม่ถูกต้องนักที่เราจะโยนความผิดทั้งหมดให้แก่ส่วนผสมเพียงอย่างเดียว, สินค้าชนิดเดียว หรืออาหารเพียงประเภทเดียว”
ด้านบลูมเบิร์กอธิบายว่า จำเป็นต้องออกระเบียบข้อบังคับเพื่อป้องกัน “การแพร่ระบาด” ของโรคอ้วนในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเหตุให้สูญเสียค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมากมาย
นักวิจารณ์ระบุว่า นโยบายเช่นนี้เป็นการใช้อำนาจรัฐอย่างจู้จี้เกินเหตุ พร้อมตำหนิบลูมเบิร์กที่พยายามยับยั้งพฤติกรรมเสี่ยงบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และบริโภคเครื่องดื่มรสหวานจัด แต่กลับปล่อยให้นิวยอร์กเป็นสถานที่จัดการแข่งขันกินมาราธอน เช่น การแข่งกินฮอตด็อกประจำปีที่คอนีย์ ไอร์แลนด์ เป็นต้น
ระเบียบใหม่ที่นิวยอร์กกำหนดขึ้นจะใช้ควบคุมเฉพาะน้ำอัดลมที่จำหน่ายตามศูนย์อาหารฟาสต์ฟูด, ภัตตาคาร และสถานที่จัดกิจกรรมนันทนาการ เช่น สนามกีฬา เป็นต้น แต่ไม่ครอบคลุมถึงน้ำอัดลมที่วางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เกต ตลอดจนเครื่องดื่มไดเอต, น้ำผลไม้, ผลิตภัณฑ์นม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์