เอเอฟพี - องค์การสหประชาชาติและสหรัฐฯต่างแสดงความกังวล เมื่อกองกำลังซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เดินทางเข้าไปยังบาห์เรนวานนี้ (14) เพื่อควบคุมผู้ประท้วงมุสลิมชีอะห์ที่ร้องขอประชาธิปไตยและกดดันให้รัฐบาลลาออก
ซาอุดีอาระเบีย แถลงว่า การส่งกองกำลังป้องกันคาบสมุทรเข้าไปในบาห์เรน เป็นไปตามคำขอร้องจากประเทศเพื่อนบ้าน
“สภารัฐมนตรียืนยันว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเป็นการตอบสนองคำขอของรัฐบาลบาห์เรน” แถลงการณ์ของรัฐบาลซาอุฯผ่านสำนักข่าวเอสพีเอ ระบุ
ตามข้อตกลงของสภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย (จีซีซี) “การรุกรานความมั่นคงในรัฐสมาชิกหนึ่งใด ถือเป็นการทำลายความมั่นคงของรัฐสมาชิกอื่นๆ ด้วย”
ชัยค์ อับดุลลาห์ บิน ซายเอ็ด อัล-นาฮายัน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศยูเออี เปิดเผยว่า สหรัฐฯอาหรับเอมิเรตส์ส่งตำรวจประมาณ 500 นายเข้าไปช่วย “บรรเทาความตึงเครียด” ภายในบาห์เรน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าประเทศจีซีซีอื่นๆ ซึ่งได้แก่ คูเวต โอมาน และ กาตาร์ จะส่งทหารเข้าไปยังบาห์เรนด้วยหรือไม่
ทางการบาห์เรนขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือและต้อนรับทหารจากต่างชาติ ขณะที่ฝ่ายพันธมิตรต่อต้านรัฐบาลประกาศว่า กองกำลังต่างชาติที่เข้ามาในบาห์เรนจะถูกถือว่าเป็นผู้บุกรุก
“เราจะถือว่า การเข้ามาของทหารหรือยานพาหนะของทหารต่างชาติ เป็นการเข้ายึดครองราชอาณาจักรบาห์เรนอย่างชัดแจ้ง และเป็นแผนการทำร้ายพลเมืองบาห์เรนซึ่งปราศจากอาวุธ”
บัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ รู้สึก “ไม่สบายใจ” ต่อการส่งทหารเข้าไปในบาห์เรน ฟาร์ฮาน ฮัก โฆษกเผยวานนี้ (14)
“ท่านขอร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอย่างถึงที่สุด และขอให้หลีกเลี่ยงการใช้กำลังหรือความรุนแรงทุกวิถีทาง” ฮัก ระบุ
ด้าน เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว ก็ออกมาเรียกร้องให้กองกำลังป้องกันคาบสมุทรเคารพสิทธิของพลเมืองบาห์เรน แต่ไม่ได้ขอให้ถอนทหารออก
“เราขอให้รัฐบาลบาห์เรนและประเทศจีซีซีทั้งหลายอดกลั้น และงดใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์ของพวกเขาโดยปราศจากอาวุธ”
“นี่ยังไม่ถือเป็นการรุกราน”
การแทรกแซงของซาอุดีอาระเบียเกิดขึ้นเพียง 2 วันหลังจากที่ โรเบิร์ต เกตส์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เดินทางเยือนกรุงมานามาเพื่อเข้าเฝ้ากษัตริย์ ฮามาด และเรียกร้องให้ทรงเร่งปฏิรูปการเมืองโดยเร็ว
เกตส์ ระบุว่า สหรัฐฯวิตกว่าอิหร่านอาจฉวยโอกาสเข้าแทรกแซงกิจการภายในของบาห์เรน หากการประท้วงยังดำเนินต่อไป
