xs
xsm
sm
md
lg

ความอับจนของพวกเสื้อแดงในประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: ฌอน ดับเบิลยู คริสพิน

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

Bloody desperation for Thailand’s reds
By Shawn W Crispin
16/03/2010

การชุมนุมบนท้องถนนของพวกเสื้อแดงที่เป็นปรปักษ์กับรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มหมดน้ำยาเมื่อมาถึงวันที่สาม ซึ่งก็คือวันอังคาร(16) การประท้วงคราวนี้มุ่งหมายที่จะให้เป็นการประกาศโอ่อวดถึงอำนาจบารมีทางการเมืองที่ยังคงมั่นคงถาวรของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทว่าเมื่อมาถึงขณะนี้มันกลับดูเหมือนกลายเป็นการสะท้อนความอับจนสิ้นหวังทั้งในทางการเมืองและในทางส่วนตัวยิ่งขึ้นทุกทีๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าที่จะเป็นขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันมีชีวิตชีวา

กรุงเทพฯ – ถึงแม้มีทั้งการชุมนุมมวลชนที่จัดเอาไว้อย่างเหมาะเจาะสำหรับการออกโทรทัศน์, การพูดปราศรัยปลุกระดม, การโฟนอินเข้ามาจากผู้นำที่ลี้ภัยอยู่ต่างแดนของพวกเขา, และพิธีกรรมที่มีเลือดนองอย่างน่าตื่นใจ แต่ถึงที่สุดแล้ว แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็ขาดไร้ทั้งเครื่องมือและความชอบธรรมที่จะบังคับขับไล่คณะรัฐบาลผสมอายุ 15 เดือนของนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ลงจากอำนาจ

การเสนอข่าวอย่างเกาะติดเข้มข้นของสื่อมวลชน เกี่ยวกับกลุ่มผู้ประท้วงสวมเสื้อแดงที่กำลังชุมนุมกันอยู่ในเขตเมืองเก่าของกรุงเทพฯในเวลานี้ มักวาดภาพให้เห็นว่าการต่อสู้นี้คือการประกาศโอ่อ่วดถึงอำนาจบารมีทางการเมืองที่ยังมั่นคงถาวรของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทว่าในขณะที่การต่อสู้นี้เริ่มหมดน้ำยาลงไปเมื่อมาถึงวันที่สาม และเติมเชื้อแห่งความขัดแย้งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในระหว่างสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มการเมืองของเขาเอง ขณะนี้มันจึงกลับดูเหมือนกลายเป็นการสะท้อนความอับจนสิ้นหวังทั้งในทางการเมืองและในทางส่วนตัวยิ่งขึ้นทุกทีๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มากกว่าที่จะเป็นขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันมีชีวิตชีวา

ถึงแม้กลุ่มประท้วงสวมเสื้อแดงเหล่านี้ ประสบความล้มเหลวไม่สามารถระดมคนเข้ามาร่วมให้ได้แม้เพียงใกล้เคียงกับตัวเลขหนึ่งล้านคน ตามที่คณะผู้จัดคุยโวไว้ว่าจะพากันเดินทางด้วยรถกระบะจากจังหวัดต่างๆ มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศ เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการต่อสู้คราวนี้มีผลงานความสำเร็จในแง่ของการปลุกระดมฐานเสียงผู้คนที่นิยมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยฐานเสียงเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากบรรดาจังหวัดยากจนในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

อย่างไรก็ตาม จากการกระทำความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์หลายๆ ประการอย่างต่อเนื่องเป็นชุด เป็นต้นว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณไปเป็นพันธมิตรกับนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ของกัมพูชา และการที่เขามีการติดต่อคบหาอย่างเปิดเผยกับพวกทหารนอกแถวซึ่งออกโรงข่มขู่ที่จะทำการวางระเบิดและจัดการลอบสังหารทั่วกรุงเทพฯ เหล่านี้ได้ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างร้าวลึกภายในกลุ่มการเมืองของเขาที่ประกอบไปด้วยคนกลุ่มต่างๆ หลายหลากอยู่แล้ว กล่าวคือ มีทั้ง นปช., พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้าน, ตลอดจนเครือข่ายที่มีทั้งนายตำรวจที่ยังประจำการอยู่และนายทหารที่ปลดเกษียณแล้ว ทั้งนี้มีบางคนในกลุ่มการเมืองของเขากล่าวหาแสดงความข้องใจต่อวิธีการซึ่ง นปช. ระดมขอเลือดจากผู้ประท้วงที่เหนื่อยเพลียเพราะอากาศ เพื่อนำเอามาสาดประท้วงรัฐบาล

กระนั้น การชุมนุมคราวนี้ก็เป็นการปลุกระดมสัญลักษณ์แห่งความเป็นนักประชานิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณให้กลับฟื้นคืนมาอีกครั้งอย่างน้อยก็ชั่วคราว อีกทั้งยังแสดงบทบาทเป็นเครื่องย้ำเตือนอันทรงพลังต่อฝ่ายที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในกลุ่มการเมืองของเขา ทั้งนี้ฝ่ายดังกล่าวมีการขบคิดพิจารณาที่จะผลักดันให้ขบวนการนี้ถอยห่างเลิกผูกพันกับชื่อเสียงส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่การต่อสู้ครั้งนี้คือการบอกกล่าวให้เห็นว่าพวกเขายังคงต้องพึ่งพาอาศัยแรงดึงดูดจากชื่อเสียงความนิยมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าหากไม่ใช่อำนาจทางการเงินของเขา พวกนักวิเคราะห์ยังไม่ทราบชัดเจนว่า ในจำนวนผู้ประท้วงซึ่งรวบรวมกันมาได้มากกว่า 100,000 คนเมื่อวันอาทิตย์(14) นั้น มีจำนวนเท่าใดที่ได้รับเงินทองตอบแทนการเดินทางมาเข้าร่วม ตามที่มีรายงานข่าวของสื่อบางรายและพวกวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณระบุเอาไว้ ทว่าสิ่งที่กระจ่างแจ้งแล้วก็คือ เมื่อดูจากเสื้อและแผ่นป้ายของพวกผู้ประท้วงแล้ว ความนิยมชมชอบในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น มีฐานะอันสำคัญยิ่งเสียกว่าแนวคิดการเรียกร้องประชาธิปไตย หรือการเรียกร้องความยุติธรรมในสังคมที่ไม่เป็นแบบ 2 มาตรฐาน

จากความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์จลาจลที่นำโดย นปช. ทั้งในกรุงเทพฯและที่พัทยาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนมากหวั่นกลัวว่าการชุมนุมในเวลานี้ก็อาจจะเอนเอียงไปสู่ความรุนแรง และจะมีการใช้กำลังทหารเพื่อปราบปราม การจลาจลในปีที่แล้วบังเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งก็เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณออกมาเรียกร้องให้พวกผู้สนับสนุนเสื้อแดงของเขาทำการ “ปฏิวัติทางสังคม” ต่อต้านรัฐบาลนั่นเอง นักวิเคราะห์จำนวนมากยังคงสงสัยว่า อดีตนายกรัฐมนตรีผู้หลบหนีโทษจำคุกไปลี้ภัยในต่างแดนผู้นี้ อาจจะหวนกลับมาใช้วิธีการท้าทายกันจนสุดขอบเขตอีก เพื่อผลักดันวาระของตัวเขาและกอบกู้ทรัพย์สมบัติของเขากลับคืน ภายหลังจากที่ศาลไทยได้พิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ให้ยึดทรัพย์สินของเขาเป็นมูลค่าเท่ากับ 1,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากการกระทำความผิดเกี่ยวกับการใช้อำนาจในทางมิชอบหลายๆ กรณี

ทางฝ่ายรัฐบาลก็มีการวางยุทธศาสตร์ที่จะโหมกระพือว่ากลุ่มเสื้อแดงอาจก่อเรื่องอันตรายขึ้นมา โดยมีการอ้างอิงข่าวกรองที่ดูเหมือนจะได้รับจากสหรัฐฯซึ่งระบุว่า การประท้วงอาจจะเปลี่ยนเป็นความรุนแรง รัฐบาลได้ใช้สถานการณ์เช่นนี้เป็นเหตุผลความชอบธรรมที่จะรีบนำเอาอำนาจตามพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร มาใช้เตรียมการรับมือ ทั้งนี้หลังจากเกิดการจลาจลเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วเป็นต้นมา นายอภิสิทธิ์ก็ได้ประกาศใช้อำนาจตามกฎหมายฉบับนี้หลายต่อหลายครั้ง มาตรการสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจไว้ ก็คือการให้ฝายทหารมีอำนาจพิเศษในการรักษาความสงบเรียบร้อย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พวก นปช. วิพากษ์วิจารณ์ว่า นายอภิสิทธิ์กำลังเป็นหัวโจกของกระบวนการแปรสังคมไทยให้กลายเป็นสังคมทหารเป็นใหญ่อย่างช้าๆ แต่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ตั้งแต่เกิดการชุมนุมในรอบนี้ของ นปช. กำลังฝ่ายความมั่นคงก็ได้บุกเข้าตรวจค้นจับกุมโรงงานหลายแห่ง ที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการผลิตชิ้นส่วนของเครื่องยิงลูกระเบิดแบบ เอ็ม-79 อาวุธชนิดนี้เองได้ถูกใช้ในเหตุการณ์โจมตีหลายๆ ครั้งที่ยังไม่มีคำอธิบายแต่เห็นชัดเจนว่าเป็นการก่อเหตุเพื่อหวังผลทางการเมือง เป็นต้นว่า การระเบิดในเดือนที่แล้วซึ่งสร้างความเสียหายให้แก่อาคารกองบัญชาการทหารแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ กับห้องทำงานของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนการโจมตีจากระยะไกลเล่นงานกรมทหารราบที่ 1 ในกรุงเทพฯเมื่อวันอังคาร(16) ซึ่งทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ 2 คน

น.พ.เหวง โตจิราการ สมาชิกแกนนำคนหนึ่งของ นปช. บอกกับเอเชียไทมส์ออนไลน์ว่า รัฐบาลเป็นผู้สร้างเรื่องการโจมตีและการตรวจยึดอาวุธเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการปราบปรามผู้เดินขบวนเสื้อแดง กระนั้นก็ตาม ได้มีแกนนำของ นปช.อีกผู้หนึ่ง กล่าวยืนยันไว้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วว่า สมาชิกรัฐสภาของพรรคเพื่อไทยผู้หนึ่งจากกรุงเทพฯ ได้ไปจัดตั้งและจ่ายเงินจ้างพวกคนขับรถจักรยานยนต์รับจ้าง ให้ก่อความรุนแรงขึ้นในระหว่างที่กลุ่มเสื้อแดงทำการชุมนุม เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาก็คือช่วงเวลาที่กลุ่มประท้วงกลุ่มนี้ทำการข่มขู่ในตอนแรกว่าจะจัดการเดินขบวน “1 ล้านคน” ก่อนที่จะยกเลิกแผนการนี้ในเวลาต่อมา

**ความนัยที่แอบแฝง**

ท่ามกลางภูมิหลังแห่งภัยคุกคามไม่ว่าจะจริงหรือคิดกันไปเองเช่นนี้ พวกผู้นำ นปช.ได้ประกาศมาโดยตลอดว่าพวกตนกำลังต่อสู้อย่างสันติวิธีเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมทางสังคมแบบที่ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน โดยมีการระบุเรื่องนี้อย่างชัดเจนต่อพวกผู้สื่อข่าวต่างชาติ ด้วยแผ่นป้ายภาษาอังกฤษซึ่งติดตั้งตามจุดต่างๆ ตลอดจนให้ผู้ร่วมชุมนุมถือเอาไว้อย่างเตะตา ในบริเวณด้านหน้าเวทีหลักของการประท้วง พวกเขาพยายามวาดภาพนายอภิสิทธิ์ว่าเป็นเพียงหุ่นเชิดของฝ่ายทหารและพวกผู้นำของอำมาตย์ ซึ่งพวกเขาอ้างว่าเป็นผู้ที่แสดงบทบาทอยู่หลังฉากในการตะล่อมให้เกิดการจัดตั้งคณะรัฐบาลผสมชุดนี้ขึ้นมา

ระหว่างการโฟนอินเข้ามากล่าวปราศรัยต่อที่ชุมนุมเมื่อคืนวันอาทิตย์(14) พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดในแนวคิดหลักทำนองเดียวกันเหล่านี้ โดยที่เขาได้วิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ตัดสินให้ยึดทรัพย์สินของเขา ว่าเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าสังคมไทยมี 2 มาตรฐาน ที่มุ่งพิทักษ์คุ้มครองคนรายและมีอำนาจมากกว่าคนจน (ถึงแม้เขาทำการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษานี้อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะ แต่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังไม่เคยพยายามหาหลักฐานรายละเอียดมาพิสูจน์ให้เห็นว่า คำตัดสินนี้ขาดความน่าเชื่อถือในทางกฎหมายอย่างไร) เขายังกล่าวเป็นนัยด้วยว่า “ผู้นำของพวกอำมาตย์” ซึ่งคัดค้านประชาธิปไตยและสมคบคิดโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยของเขาลงในปี 2006 นั้น เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำพิพากษานี้

สิ่งที่สร้างความงงงันให้แก่ผู้สังเกตการณ์จำนวนมากที่เฝ้าติดตามการเมืองไทยมายาวนาน ก็คือ การที่ นปช.ดูเหมือนจะเป็นโรคความจำเสื่อมจนลืมเลือนประวัติการต่อต้านประชาธิปไตยของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความพยายามของเขาที่จะหลบเลี่ยงไม่เดินตามกระบวนการทางรัฐสภา, ทำลายสถาบันต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบและถ่วงดุล, และบีบคั้นกดดันสื่อมวลชนอิสระ ตลอดจนผลประโยชน์ทั้งหลายที่เขาเก็บเกี่ยวได้มาจากการมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิกับผู้นำชนชั้นอำมาตย์ ซึ่งรวมไปถึงสัมปทานด้านการสื่อสารอันทรงอภิสิทธิ์ที่เขาได้จากภาครัฐ โดยที่เขาได้อาศัยสัมปทานอภิสิทธิ์นี้เองเป็นคานงัดกระโจนขึ้นไปสร้างทรัพย์สมบัติส่วนตัวเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์

ขณะที่ นปช.ส่งเสียงเรียกร้องลั่นก้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ นปช.กลับล้มเหลวไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่า นักการเมืองผู้อื้อฉาวของพรรคเพื่อไทย คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คือผู้ที่มีโอกาสดีที่สุดที่จะกลายเป็นผู้ที่พรรคส่งเข้าชิงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ทั้งนี้ บุตรชายของ ร.ต.อ.เฉลิม คือ นายดวงเฉลิม ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำฆาตกรรมตำรวจที่มิได้อยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ผู้หนึ่งเมื่อปี 2001 และหลายๆ คนบอกว่า ร.ต.อ.เฉลิมเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของเรื่อง 2 มาตรฐานที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ทรงอำนาจมากกว่าคนยากจน นายดวงเฉลิมพ้นข้อหาโดยศาลยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอเมื่อปี 2004 และเวลานี้ก็เป็นดาวรุ่งทางการเมืองที่มีบิดาคอยขับดันหนุนส่ง

จากบรรดาเรื่องเจิดจ้าแทงตาที่ถูกมองข้ามละเลยไม่อยู่ในวาระเรียกร้องประชาธิปไตยของ นปช. เหล่านี้ ทำให้พวกนักนิยมเจ้าจำนวนมากมีข้อสรุปว่า พวกผู้นำของกลุ่มนี้มีวาระซ่อนเร้นในเรื่องการต่อต้านเจ้า อันเป็นข้อกล่าวหาที่ นปช.ปฏิเสธเสียงแข็ง พวกเขาเชื่อว่าการวิพากษ์วิจารณ์แบบไม่เลิกราต่อองคมนตรีของกลุ่มนี้ คือคมดาบหน้าสุดของการรณรงค์เพื่อมุ่งขจัดบทบาทของสถาบัน

ในช่วงก่อนหน้าที่ศาลฎีกาจะอ่านคำพิพากษาในคดีทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อันเป็นขณะที่ นปช.กำลังเร่งขันเกลียวเพิ่มความตึงเครียดต่างๆ รวมถึงการข่มขู่แต่มิได้มีการกระทำที่จะเดินขบวนไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯแห่งหนึ่ง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กำลังทรงแปรพระราชฐานพักฟื้นพระวรกายภายหลังทรงพระประชวรมานาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจในด้านพิธีการหลายๆ ประการอีกครั้ง เป็นต้นว่า พระองค์ได้เสด็จออกพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะผู้พิพากษา โดยที่ทรงเน้นย้ำให้ผู้พิพากษาตัดสินคดีด้วยความถูกต้อง

ก่อนหน้าที่การชุมนุมของ นปช.ในคราวนี้จะเริ่มขึ้น หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ ก็ได้ตีพิมพ์ภาพในหน้าหนึ่ง ที่เป็นภาพนายอภิสิทธิ์กำลังเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยที่มีสุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่พระองค์ทรงเลี้ยงไว้หมอบอยู่ใกล้ๆ

เวลานี้เส้นแบ่งของความแตกต่างในเรื่องเกี่ยวกับประชาธิปไตยมีความชัดเจนลดน้อยลงไปแล้ว และความขัดแย้งทางการเมืองที่กำลังปะทะกันอยู่ในประเทศไทย สามารถที่จะเข้าใจได้ดีที่สุดเมื่อพิจารณาว่าเป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจกันระหว่างกลุ่มการเมืองชนชั้นนำที่กำลังแข่งขันกันอยู่ การเรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมในสังคมของ พ.ต.ท.ทักษิณ และ นปช. เป็นหน้ากากปิดบังอำพรางเกมการเมืองชิงอำนาจที่ไม่เกี่ยวอะไรกับอุดมการณ์เลย และก็เป็นเกมที่ฝ่ายเขากำลังพ่ายแพ้อย่างชัดเจนต่อกลุ่มพลังอนุรักษนิยมที่มารวมตัวกันต่อต้านเขา ด้วยเหตุดังนี้ บางทีการตีความหมายเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับเลือดที่ นปช. นำมาสาดทิ้งเป็นการประท้วงนั้น น่าจะอยู่ที่ว่ามันเป็นเลือดไหลออกมาจากบาดแผลที่พวกเขาทำขึ้นมาเอง

ฌอน ดับเบิลยู คริสพิน เป็นบรรณาธิการข่าวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของเอเชียไทมส์ออนไลน์
กำลังโหลดความคิดเห็น