รบ.รักษาการฮอนดูรัสเปิดเสียงดังป่วนสถานทูตบราซิล

เอเจนซี - คณะผู้นำรัฐบาลรักษาการฮอนดูรัส วานนี้ (21) ตามเวลาท้องถิ่น สั่งให้ทหารบรรเลงเพลงเสียงดังครึกโครมป่วนนอกสถานทูตบราซิลประจำกรุงเตกูซิกัลปา อันเป็นสถานที่ที่ประธานาธิบดี มานูเอล เซลายา ซึ่งถูกรัฐประหารยึดอำนาจ อาศัยลี้ภัยการเมือง พร้อมทั้งไม่ยอมจำนนต่อแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นทุกขณะจากรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้ประธานาธิบดีเซลายากลับสู่อำนาจ

ในเวลาเดียวกัน การเจรจาเพื่อยุติวิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองในฮอนดูรัส ซึ่งปะทุขึ้นตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ต้องเจอกับทางตันในเรื่องการกลับคืนสู่อำนาจของเซลายา

ตำรวจรายงานว่า พบระเบิดยังไม่ถูกถอดสลัก 2 ลูก ซุกซ่อนภายในร้านค้าแห่งหนึ่งใกล้โรงแรมในกรุงเตกูซิกัลปา ซึ่งเป็นสถานที่จัดการเจรจาผ่าทางตันการเมือง อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สามารถเก็บกู้ระเบิดได้อย่างปลอดภัย และไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ

ตลอดคืนที่ผ่านมา รัฐบาลรักษาการฮอนดูรัส ได้ส่งกองทัพไปบรรเลงดนตรีร็อกดังกระหึ่ม พร้อมกับเล่นแตรวงทหาร, สั่นระฆังโบสถ์และเปิดคลิปเสียงบันทึกเสียงร้องของหมูผ่านเครื่องกระจายเสียงปั่นป่วนนอกสถานทูตบราซิล นักข่าวรอยเตอร์ที่อยู่ภายในสถานทูต กล่าว

ด้านประธานาธิบดี เซลายา ประณามว่า เป็นการ “ทรมาน”

วิกฤตการเมืองฮอนดูรัส สร้างความปวดหัวอย่างมากให้กับ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งพยายามจะปรับปรุงความสัมพันธ์กับละตินอเมริกา

ล่าสุด วานนี้ (21) กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ สั่งระงับวีซ่าเข้าประเทศของบุคคลสำคัญระดับอาวุโสเพิ่มเติมอีกหลายราย ซึ่งสนับสนุนการรัฐประหาร โดยเป็นครั้งที่สองแล้วที่กรุงวอชิงตันเพิกถอนวีซ่าการทูตและท่องเที่ยวจากวิกฤตความขัดแย้งในฮอนดูรัส

ก่อนหน้านั้น ศาลสูงสูงตัดสินว่าแผนการลงประชามติดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งยังถูกคัดค้านจากฝ่ายทหาร แต่ประธานาธิบดี เซลายา ประกาศจะผลักดันให้มีการลงประชามติต่อ และพยายามปลด พลเอก โรมิโอ วาสเกซ ผู้บัญชาการทหารออกจากตำแหน่ง เนื่องจากความขัดแย้งดังกล่าว

ศาลสูงสุดแถลงในวันเดียวกัน ว่า ได้สั่งให้ปลดประธานาธิบดี เซลายา ออกจากตำแหน่ง เพื่อพิทักษ์รักษากฎหมายและความเป็นระเบียบในชาติ

รุ่งสางของวันอาทิตย์ที่ 28 มิถุนายน ทหารราว 200 คน บุกจู่โจมบ้านพักของเซลายา และนำตัวผู้นำประเทศออกจากบ้านพักทั้งชุดนอน จากนั้นก็ส่งขึ้นเครื่องบินเนรเทศไปที่คอสตาริกา

การรัฐประหารและวิกฤตการเมืองในฮอนดูรัสครั้งนี้ เป็นวิกฤตครั้งเลวร้ายที่สุดในภูมิภาคอเมริกากลางนับตั้งแต่สงครามเย็น ตลอดจนขัดขวางนโยบายต่างประเทศของ บารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งพยายามจะปรับปรุงความสัมพันธ์กับละตินอเมริกา