เอเอฟพี/เอเจนซี - ราคาน้ำมันขยับเล็กน้อยเมื่อวันพฤหัสบดี (16) หลังช่วงท้ายของการซื้อขายดีดตัวกลับขึ้นมาตามแรงฉุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปิดบวกเกือบ 100 จากผลประกอบการธนาคารยักษ์ใหญ่อันสดใสจุดชนวนความหวังทางเศรษฐกิจ
น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนสิงหาคม เพิ่มขึ้น 48 เซนต์ ปิดที่ 62.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่เบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน ลดลง 34 เซนต์ ปิดที่ 62.75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
หลังจากร่วงลงเกือบตลอดทั้งวันจากความกังวลเกี่ยวกับเค้าลางการล้มละลายของซีไอทีกรุ๊ป เป็นบริษัทสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของสหรัฐฯ หลังจากรัฐบาลปฏิเสธมอบเงินช่วยเหลือเพิ่มเติม น้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดกลับมาดีดตัวขึ้นในชั่วโมงสุดท้ายของการซื้อขาย ตามหลังวอลล์สตรีทที่พุ่งขึ้น
โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดี (16) ปิดในแดนบวกต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 หลังจาก เจพีมอร์แกน รายงานผลกำไรไตรมาสสอง สูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจวาณิชธนกิจอันแข็งแกร่ง
ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 95.61 จุด (1.11 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 8,711.82 จุด แนสแดก เพิ่มขึ้น 22.13 จุด (1.19 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,885.03 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 8.06 จุด (0.86 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 940.74 จุด
เจ.พี.มอร์แกน เชส แอนด์ โค รายงานผลกำไรไตรมาสสอง มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากระดับ 2 พันล้านดอลลาร์ ในปีก่อน
เจ.พี.มอร์แกน ระบุในแถลงการณ์ว่า ธนาคารสามารถทำกำไรได้ แม้ว่าจะมีรายจ่ายคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 27 เซนต์ต่อหุ้น เนื่องจากธนาคารได้ชำระเงินกู้ทั้ง 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯคืนให้แก่รัฐบาล โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการลดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ทีเออาร์พี) นอกจากนี้ ธนาคารยังเสียค่าปรับให้แก่บรรษัทประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (เอฟดีไอซี) เป็นจำนวน 10 เซนต์ต่อหุ้นด้วย
ทั้งนี้ เจ.พี.มอร์แกน ถือเป็นธนาคารแห่งเดียวในอันดับท็อป 5 ของสหรัฐฯ ที่สามารถทำกำไรได้ทุกไตรมาสตั้งแต่ที่วิกฤตการเงินได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2007 เนื่องจากรายได้ในธุรกิจวาณิชธนกิจ ธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์ และอันเดอร์ไรท์ที่เข้มแข็ง สามารถชดเชยหนี้ค้างชำระที่เพิ่มสูงขึ้นจากธุรกิจสินเชื่อเพื่อรายย่อยและบัตรเครดิตได้
การเปิดเผยผลประกอบการของ เจ.พี.มอร์แกน มีขึ้นหนึ่งวันหลังจาก โกลด์แมน แซคส์ ธนาคารอันดับ 5 ของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยผลกำไร 3.44 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเดือน เม.ย.- มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.09 พันล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเหนือกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์เช่นเดียวกัน