เอเจนซี/เอเอฟพี - เบอร์นาร์ด แมดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหลักทรัพย์แนสแดค ยอมรับสารภาพความผิดต่อศาลสหรัฐฯเมื่อวันพฤหัสบดี(12) ว่า ได้วางแผนและดำเนินการกรณีฉ้อโกงต้มตุ๋นนักลงทุนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของวอลล์สตรีท จากนั้นเขาก็ถูกส่งตัวเข้าคุกเพื่อรอคำตัดสินระวางโทษ ซึ่งอาจจะทำให้เขาต้องอยู่ในเรือนจำไปตลอดชีวิต
ท่ามกลางผู้คนแน่นขนัดในห้องพิจารณาคดี โดยที่หลายๆ คนคือเหยื่อแห่งการต้มตุ๋นของเขา แมดอฟฟ์ได้ลุกขึ้นอธิบายต่อหน้าผู้พิพากษาเป็นเวลา 10 นาทีเกี่ยวกับกองทุนแชร์ลูกโซ่ของเขา
แมดอฟฟ์ยอมรับว่าเขารู้ว่ามันเป็นความผิดอย่างมหันต์ แต่ในตอนทศวรรษ 1990 ที่เขาเริ่มต้นแผนนี้ขึ้นมานั้น เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้ารายสำคัญๆ ด้วยผลตอบแทนงามๆ และก็คิดว่าจะสามารถเลิกการกระทำแบบแชร์ลูกโซ่ได้โดยเร็ว และนำตัวเองตลอดจนลูกค้าออกมาเป็นอิสระได้
“ผมรู้สึกผิดอย่างมากที่ได้ทำร้ายคนจำนวนมาก” ซึ่งก็รวมทั้งครอบครัว, เพื่อน, และเพื่อนร่วมงานด้วย” แมดอฟฟ์กล่าวต่อหน้าผู้พิพากษาเดนนี ชิน ในศาลสหรัฐฯที่แมนฮัตตัน และนี่เป็นครั้งแรกที่เขากล่าวถึงการกระทำผิดของเขาในที่สาธารณะ
“เมื่อผมเริ่มต้นกองทุนแชร์ลูกโซ่ ผมเชื่อว่าจะสามารถยุติกองทุนได้โดยเร็ว และจะสามารถเอาตัวเองรวมทั้งลูกค้าออกจากความเสี่ยงนี้ได้โดยเร็ว” แมดอฟฟ์กล่าวในศาล
สิ่งที่เขากล่าวเป็นการอ่านจากคำแถลงที่เตรียมมาก่อน ซึ่งในนั้นไม่มีการเอ่ยถึงขนาดของกองทุนลวงโลกนี้ แต่อัยการแถลงว่าน่าจะเป็นเงินถึง 65,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และมีบัญชีลูกค้าอยู่ราว 4,800 ราย
แมดอฟฟ์กล่าวว่าเมื่อเวลาผ่านเขาก็รู้ดีว่ากองทุนต้องถูกปิด และเขาจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีเข้าสักวันหนึ่ง
การจับกุมและการเปิดเผยเรื่องฉ้อโกงครั้งนี้ ทำให้แมดอฟฟ์ที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็นตำนานหน้าหนึ่งของวอลล์สตรีทที่ยังมีชีวิตอยู่ กลายมาเป็นคนที่นักลงทุนเกลียดชังอย่างยิ่ง เมื่อเขาถูกใส่กุญแจมือและถูกนำตัวออกไปจากศาล พวกนักลงทุนที่เข้าฟังการพิจารณาคดีก็ส่งเสียงด้วยความสะใจ
บรรดาคนที่ลงทุนในกองทุนของเขานอกจากจะเข้ามาฟังการพิจารณาคดีแล้ว บางส่วนก็ไปรอฟังผลกันที่หน้าศาล และต่างก็วิพากษ์วิจารณ์คดีและตัวแมดอฟฟ์ไปต่าง ๆกัน
“มันเป็นชัยชนะที่หวานแกมขม” มิเรียม ซีกแมน วัย 65กล่าวและบอกว่าเธอเสียเงินออมทั้งชีวิตไปกับการลงทุนในกองทุนของแมดอฟฟ์ และตอนนี้เธอต้องไปขอรับการสงเคราะห์จากรัฐบาลในรูปของแสตมป์อาหาร
“ไม่มีใครมาช่วยอะไรฉันได้ แม้ว่าเขาจะถูกจำคุกแต่สถานการณ์ของฉันก็ไม่ได้ดีขึ้น” เธอกล่าว “ฉันยังคงต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างยากจน เพราะว่าเขาเอาทุกอย่างไป”
เมื่อกองทุนของแมดอฟฟ์ล้มใหม่ ๆมีคนฆ่าตัวตายไปแล้วสองรายเนื่องจากสูญเงินจำนวนมหาศาล
นอกจากนั้น คดีนี้ยังทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์พวกหน่วยงานกำกับดูแลอย่างรุนแรง เพราะไม่สามารถตรวจสอบพบการหลอกลวงได้แต่เนิ่น ๆ แม้แต่เมื่อมีคนรายงานความผิดปกติของกองทุนแมดอฟฟ์ต่อคณะกรรมการกำกับดูแลหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ตั้งแต่เมื่อเดือนพฤษภาคมปี 1999
ตอนนี้หลายฝ่ายก็ออกมาเรียกร้องให้มีการควบคุมอุตสาหกรรมการเงินของสหรัฐฯให้เข้มงวดมากกว่าเดิม
ลูกค้าของแมดอฟฟ์นั้นมีทั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์, ธนาคาร,กองทุนของพวกยิว, คนร่ำรวย รวมทั้งนักลงทุนรายย่อยในอเมริกาเหนือและใต้ รวมทั้งยุโรปด้วย
นักลงทุนบางรายได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้นพูดในระหว่างการพิจารณาคดี หนึ่งในนั้นก็คือจอร์จ ไนเรนเบิร์ก ซึ่งพยายามพูดกับแมดอฟฟ์โดยตรง
“ผมไม่รู้ว่าคุณได้หันหลังมาดูคนที่ตกเป็นเหยื่อบ้างหรือเปล่า” ไนเรนเบิร์กกล่าว ส่วนแมดอฟฟ์ก็หันมามองเขาแว่บหนึ่ง
แมดอฟฟ์กล่าวต่อศาลว่าเขาอธิบายกับลูกค้าว่าจะนำเงินไปลงทุนในหุ้นสามัญ, ออพชั่นส์ และหลักทรัพย์หลายชนิดของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง
แต่กลับนำเอาเงินซื้อหน่วยลงเหล่านั้นไปเข้าบัญชีในธนาคารเชส แมนฮัตตันแทน
เมื่อนักลงทุนต้องการเงินคืนเช่นมีการไถ่ถอน “ผมก็ถอนเงินในธนาคารเชสแมนฮัตตันไปจ่ายให้กับนักลงทุน”
หลังจากที่เขาถูกจับเมื่อเดือนธันวาคม แมดอฟฟ์ก็ได้อนุญาตให้ประกันตัวออกมาได้แต่ก็ถูกกักบริเวณในเพนท์เฮ้าส์ 7 ล้านดอลลาร์ของเขาในแมนฮัตตัน
หลังจากที่เขายอมรับผิด ผู้พิพากษาก็สั่งให้ส่งตัวแมดอฟฟ์ไปเข้าคุก และกำหนดวันตัดสินระวางโทษของเขาในวันที่ 16 มิถุนายน ซึ่งเขาอาจจะต้องถูกจำคุกถึง 150 ปีจากความผิด 11 ข้อหาตั้งแต่การฉ้อฉลด้านหลักทรัพย์ การฟอกเงินและให้การเท็จ
แมดอฟฟ์ดำเนินธุรกิจกับน้องชายของเขา ปีเตอร์ และลูกชายสองคน มาร์คและแอนดรูว์ โดยทั้งหมดเป็นผู้บริหารของธุรกิจโบรกเกอร์ค้าหลักทรัพย์ของบริษัทเขา แมดอฟฟ์ยืนยันว่าธุรกิจโบรกเกอร์นี้ดำเนินธุรกิจที่ถูกกฏหมาย