เอเจนซี – ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐเสนอแผนงบประมาณขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 มุ่งยับยั้งการทรุดตัวทางเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างระบบการดูแลสุขภาพอย่างขนานใหญ่
แผนงบประมาณฉบับใหม่ของประธานาธิบดีโอบามา ซึ่งได้รับการเปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาระบุว่า ปี 2009 นี้จะขาดดุลงบประมาณสูงถึง 1.75 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 63 ล้านล้านบาท หรือเท่ากับ 12.3 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี.สหรัฐ ซึ่งนับเป็นยอดการขาดดุลงบประมาณสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา ขณะที่แผนงบประมาณปี 2010 จะขาดดุลลดลงเหลือเพียง 1.17 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม แผนงบประมาณฉบับแรกของประธานาธิบดีโอบามาสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายตามที่เคยประกาศไว้ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งก่อนเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอย่างชัดเจน โดยจะมีการปรับเพิ่มอัตราภาษีจากคนร่ำรวยเพื่อใช้จ่ายในโครงการดูแลสุขภาพ การศึกษา การแก้ไขปัญหาโลกร้อน และโครงการสวัสดิการสังคมอื่น ๆ
คาดกันว่าแผนงบประมาณฉบับนี้จะต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงจากสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาคองเกรส หลังจากรัฐบาลต้องสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมหาศาลไปกับการให้ความช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์และอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งประสบปัญหาจากการทรุดตัวทางเศรษฐกิจ
แม้แผนงบประมาณฉบับใหม่จะมียอดขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ประธานาธิบดีโอบามาก็ยืนยันว่า จะเร่งปรับลดการขาดดุลงบประมาณลงตามที่เคยประกาศนโยบายไว้ ขณะที่ฝ่ายรีพับลิกันเปิดฉากโจมตีว่า เป็นการเริ่มต้นใช้จ่ายอย่างมือเติบตามที่เคยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้
นายจอห์น โบห์เนอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐกล่าวว่า แผนงบประมาณของประธานาธิบดีโอบามา เป็นการสร้างภาระให้แก่ลูกหลาน เหลน โหลนชาวอเมริกัน โดยไม่ยอมรับความเป็นจริงว่ารัฐบาลกำลังถังแตก
การประกาศแผนงบประมาณฉบับใหม่ทำให้ราคาหุ้นและพันธบัตรรัฐบาลอ่อนตัวลงทันทีเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเลขหนี้สาธารณะ ขณะที่ราคาหุ้นกลุ่มธุรกิจประกันสุขภาพและบริษัทผู้ผลิตยา ดิ่งลงอย่างรุนแรงเพราะรัฐบาลมีแผนจะให้สวัสดิการด้านการดูแลสุขภาพแก่ประชาชนมากขึ้นกว่าเดิม
แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครท แสดงความชื่นชมแผนงบประมาณฉบับใหม่ของประธานาธิบดีโอบามา โดยกล่าวตอบโต้การโจมตีของฝ่ายรีพับลิกันว่า รากเหง้าของการขาดดุลงบประมาณเกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช
แผนงบประมาณของประธานาธิบดีโอบามา จะขยายโครงการดูแลสุขภาพให้ครอบคลุมชาวอเมริกัน 46 ล้านคนที่ไม่มีประกันสุขภาพ โดยจะปรับโครงสร้างระบบการดูแลสุขภาพด้วยงบประมาณ 634,000 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 10 ปี และปรับขึ้นภาษีเงินได้ของคนที่มีรายได้สูงกว่า 250,000 ดอลลาร์ต่อปี เพื่อนำมาใช้อุดหนุนโครงการดังกล่าว
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีแผนจะใช้งบประมาณ 750,000 ล้านดอลลาร์ ซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ของบริษัทผู้ให้บริการทางการเงิน ที่กำลังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงเพราะหนี้เสียจากตลาดจำนองอสังหาริมทรัพย์ โดยคาดว่ารัฐบาลจะขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์เป็นยอดเงินทั้งสิ้นประมาณ 250,000 ล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโอบามายังได้เสนองบประมาณสนับสนุนการทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานในปีงบประมาณปัจจุบันเพิ่มขึ้นอีก 75,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้ยอดงบประมาณทางทหารในปีงบประมาณปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 140,000 ล้านดอลลาร์ ก่อนจะปรับลดลงเหลือ 130,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2010 ซึ่งจะเริ่มในเดือนตุลาคมปีนี้
เจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐคาดการณ์ว่า ประธานาธิบดีโอบามาจะเร่งรัดการถอนทหารออกจากอิรักให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 18 เดือน หลังจากรัฐบาลประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ใช้งบประมาณสนับสนุนการทำสงครามในอิรักและอัฟกานิสถานเป็นยอดสูงถึง 190,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2008